ส่องบทเรียน"ครูการเมือง"ชำเลืองดูอนาคต"ทักษิณ"
ถ้าคุณทักษิณ ยกย่องว่า คุณปรีดาเป็นครูการเมืองย่อมได้สุดยอดวิชานี้ไปด้วยและน่าจะเป็นอย่างนั้น
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
คุณทักษิณ ชินวัตร ยกย่องนับถือ "ปรีดา พัฒนถาบุตร"ว่า เป็นครูการเมือง
นอกจากเป็นคนเชียงใหม่เหมือนกันแล้ว คุณทักษิณยังเคยเป็นนายตำรวจติดตามคุณปรีดาตอนท่านเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ยิ่งถ้าฟัง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ซึ่งต้องลุกจากเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เพื่อคืนความชอบธรรมให้ คุณถวิล เปลี่ยนศรี ตามคำพิพากษาศาลปกครองยิ่งจะเห็นความสัมพันธ์ของสองตระกูลนี้ซึ่งผูกพันกันมาช้านาน
"...ความไว้วางใจมันต้องมีความสัมพันธ์ผูกพันกันมา ในเรื่องประวัติการปฏิบัติงาน แต่บางคนบอกว่าผมสัมพันธ์กับท่านทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) เขาไปโยงใยมา ผมก็จะเล่าว่าบางคนไปสับสนท่านปรีดาเป็นอาของผม พ่อผม (พล.ท.กอบกุล พัฒนถาบุตร) เป็นพี่ชายท่านปรีดา พ่อผมนี่แหละคือเพื่อนของนายเลิศ ชินวัตร (บิดาของ พ.ต.ท.ทักษิณ) เป็นคนจังหวัดเชียงใหม่เหมือนกัน นี่คือความสัมพันธ์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านปรีดารู้จักกับพ่อของท่านทักษิณ ตอนลงเป็นผู้แทนจังหวัดเชียงใหม่ มันก็เลยเป็นความสัมพันธ์ในแง่ของความรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับผมทำงานตรงนี้ด้วย พอท่านทักษิณขึ้นมาก็เห็นตรงฟิลส์กัน มันก็เลยมีความรู้สึกวางใจกัน ผมอาจจะโชคดีที่จังหวะมันมาตรงกับงานของผม ถ้าวางใจแล้วผมไม่มีสเปกทำงานที่ สมช. มันก็ไม่ได้ ทุกอย่างมันต้องประกอบกัน..."
สรุปคือ พ่อคุณทักษิณกับพ่อภราดรเป็นเพื่อนกัน คุณทักษิณเป็นตำรวจติดตามอาภราดร และเมื่อคุณทักษิณเป็นนายกฯก็เอาเพื่อนรุ่นน้องผู้นี้มาเป็นเลขาธิการสมช.
คุณปรีดาผู้เป็นครูการเมืองของคุณทักษิณนั้นเป็นผู้คิดสูตรคณิตศาสตร์การเมืองซึ่งคุณทักษิณเอามาใช้แล้วทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากได้จริงๆและมีความแข็งแกร่งกันมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
ท่านผู้นี้เป็น อดีต ส.ส.เชียงใหม่เป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง เป็น ส.ส.เชียงใหม่มานานถึง 10 ปี ไม่นับว่าก่อนนั้นเล่นการเมืองอยูในสนามเล็กเป็นนายกเทศมนตรี เป็นเทศมนตรีเมืองเชียงใหม่มาก่อนถึง 17 ปี
ท่านเป็นคนเรียนดีตั้งแต่เด็ก จบวิศวกรรมจากอเมริกาและเยอรมัน มีประวัติที่น่าสนใจมาก
เรื่องหนึ่งซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่งคือ แม้จะเรียนรู้จากมหาวิทยาลัยชั้นดีทั้งเมืองไทยและต่างประเทศแต่ท่านกลับบอกว่า "ได้ความรู้มากที่สุดในชีวิต" จาก "ยามผู้หนึ่ง"
ปีที่คุณปรีดาหลงเข้าไปในมหาวิทยาลัยชีวิตนั้น เกิดขึ้นเมื่อเขาเรียนจบที่เยอรมันแล้วไปฝีกงานที่โรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า "โรงไฟฟ้าบามแบก"
วงจรชีวิตของวิศวกรหนุ่มคนไทยผู้นี้ในเยอรมันตอนนั้นคือ กลางวันทำงาน ตอนกลางคืนก็ไปหาเล่นหมากรุกตามสโมสรต่างๆซึ่งอยู่ตามละแวกหอพักซึ่งอยูไม่ไกลจากโรงงาน
คืนหนึ่ง ระหว่างกลับเดินกลับจากสโมสร โดยลัดเลาะมาตามรั้วโรงงาน พอเห็นยามผู้หนึ่ง เขาก็เซย์ฮัลโหลตามประสาคนอัธยาศรัยดี
ยามคนนั้นถามเขาว่าไปไหนมา หนุ่มปรีดาตอบว่า ไปเล่นหมากรุกที่สโมสร
อาจจะเป็นด้วยเพราะว่าง เพราะเหงา เพราะต้องการฆ่าเวลาหรือคันมือสุดจะเดา จู่ๆยามผู้นั้นก็เอ่ยปากถามว่า "โขกกันสักกระดานไหม?"
หนุ่มปรีดาไม่รีบกลับเลยตอบรับว่า "เอาเลย ยกกระดานมา"
เขาไม่รู้เลยว่าการเดินหมากคราวนั้นจะพลิกชีวิตตัวเองไปด้วย
หลายสิบปีต่อมา...
คุณปรีดารำลึกถึงคืนนั้นแล้วเล่าว่า ตัวท่านเองนั้นถือว่า ตนเองเป็นเซียนหมากรุกฝรั่งผู้หนึ่ง จึงเที่ยวไปหาเล่นหมากรุกตามสโมสรฝรั่งโดยไม่ครั้นคร้ามผู้ใดแต่คืนนั้น เขาพ่ายยามคนนั้นอย่างไม่เป็นท่า
"เราจนในการเดิน 16 ขยับ ขอแก้ตัวใหม่ เราจนอีกในการเดิน 15 ขยับ ทั้งๆที่เราก็เป็นเซียนหมากรุกฝรั่ง เข้าภาษิต เหนือฟ้ายังมีฟ้า "เซียน"แท้ๆ ยังโดน "จนกลางกระดาน"ซึ่งยากมาก..."
ไม่เพียงแต่พ่ายหมากรุกแบบจนกลางกระดาน
พอคุณปรีดาลองพูดภาษาอังกฤษกับยามคนนั้น ปรากฏว่า เจอเขาสวนกลับมาเป็นภาษาอังกฤษแบบคล่องปรื๊อกว่าอีก
คุณปรีดาเลยเอ๊ะใจ ฉุกคิดขึ้นมาว่า ยามซึ่งพิกลพิการทางร่างกายหลายแห่งเพราะโดนอาวุธสงครามมาอย่างสะบักสะบอมนั้น "ท่าจะมิใช่คนธรรมดา"
หากเป็นสำนวนนวนิยายกำลังภายในก็คงบรรยายว่า "ท่าทางบุคคลท่านนี้จะเป็นยอดคนงำประกาย"อะไรเทือกนั้น
คุณปรีดาเป็นคนฉลาด เมื่อเจอผู้ฉลาดและเก่งกว่า ซ้ำยังเป็นยอดคนงำประกายซุกซ่อนตัวอยู่ในคราบยามโรงไฟฟ้าซึ่งเป็นงานชั้นปลายแถวในสถานที่เช่นนั้น คุณปรีดาจึงมั่นใจว่า บุคคลผู้นี้ต้องมีอะไรดีแน่ๆ เลยหมั่นเพียรไปคุยกับยามผู้นี้เสมอๆ
เรียกว่า กลับจากสโมสรคืนไหนก็แวะไปคุย
ไปเป็นประจำเลยเข้าทำนอง เสวนา จ พาลานังฯ คุยกันบ่อยๆความคุ้นเคยก็เกิดขึ้น
พอคุ้นกันแล้ว คุณปรีดาก็เอ่ยปากฝากตัวเป็นศิษย์ขอให้ อาจารย์ลึกลับผู้นั้นประสิทธิประสาทวิชาให้
"ขอร้องให้เขาสอนความรู้ต่างๆเท่าที่เขามีประสบการณ์มา ฝึกงานอยู่ 6 เดือน ได้ความรู้มากที่สุดในชีวิตก็เพราะยามคนนี้"
แม้จะอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนและประสิทธิประสาทสุดยอดวิชาให้ผู้เป็นศิษย์แต่ศิษย์ก็ไม่รู้เลยว่า อาจารย์ของเขาเป็นใคร?
กระทั่งวันสุดท้ายในเยอรมัน รุ่งขึ้นศิษย์จะต้องกลับเมืองไทยแล้ว คุณปรีดาจึงเอ่ยปากถามว่า แท้จริงแล้ว ท่านอาจารย์เป็นผู้ใด มาจากไหนฤา?
หลังจากตกปากรับคำว่า ถ้าบอกแล้ว หลังจากนี้คุณปรีดาต้องรูดปากให้สนิทเป็นเวลา 30 ปี จะทำได้ไหม?
ศิษย์รับคำ
ยามผู้นั้นจึงเฉลยว่า แท้จริงแล้ว เขาคือ...
"อันดับสอง จากไฮริช หัวหน้ายุวเกนไฮม์ แห่งเยอรมันนีหรือแปลเป็นไทยว่า เขาคือ ผู้อยู่อันดับสองของหัวหน้ายุวชนฮิตเลอร์"
โอ้...มายก็อด
คลิกวิกิพีเดียโดยพลัน...
พบคำอธิบายว่า...
"ยุวชนของฮิตเลอร์ (อังกฤษ: Hitler Youth) หรือ ฮิตเลอร์ยูเงิ่นด์ (เยอรมัน: Hitlerjugend) เป็นหน่วยองค์กรยุวชนแห่งนาซีที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยนาซีเยอรมนี เป็นกลุ่มเด็กหนุ่มสาวชาวเยอรมันที่ได้รับการปลูกฝังอุดมการณ์ชาตินิยมโดยลัทธินาซี เป็นหลักสูตรภาคบังคับสำหรับเยาวชนชาวเยอรมันทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กชาย
"อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้กล่าวว่าจะต้องขจัดสายเลือดที่อ่อนแอออกไปให้เหลือชายหนุ่มและหญิงสาวที่สมบูรณ์พร้อมชาติพันธุ์เยอรมันจะต้องเป็นชนชาติที่ก้าวหน้าและเข้มแข็ง ฮิตเลอร์ยังกล่าวว่าปลายยุคของเขาจะสร้างรัฐอารยัน และสถาปนาอาณาจักรไรช์ที่ 3 อันเกรียงไกร พรรคนาซีจะต้องทำการหล่อหลอมทั้งร่างกายจิตใจ และแนวความคิดของความเป็นเลิศของชนชาติให้กับเยาวชนเยอรมัน
"สำหรับเด็กชายชาวเยอรมัน อายุ 10–14 ปี ต้องเป็น "ยุวชนเยอรมัน" (เยอรมัน: Deutsches Jungvolk, ด๊อยเชสยุงโฟล์ก) จะอบรมปลูกฝังอุดมการณ์ต่างๆ จนอายุ 14 ปี จะโอนไปยัง "ยุวชนฮิตเลอร์" การหล่อหลอมอบรมอย่างเป็นขั้นตอนปลูกฝังให้เกิดความรักชาติ (patriotism) จนอาจเลยเถิดไปเป็นความคลั่งชาติ (chauvinism) และหลงตนเอง (narcissism) ในเรื่องของ การผูกขาดความภักดี (monopoly of loyalty) นอกจากนั้นก็จะถูกฝึกให้ใช้อาวุธต่างๆ พอครบอายุ 20 ปีก็จะทำการเข้าประจำการในกองทัพเยอรมัน..."
คุณปรีดาไม่ได้เล่าละเอียดว่า สุดยอดวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาจนรู้สึกว่า "ได้ความรู้มากที่สุดในชีวิต"นั้นคืออะไร เป็นสุดยอดเช่นเดียวกับ ตำราพิชัยสงคราม "หกความลับทางยุทธศาสตร์" ของ เจียง จื่อหยา ซึ่งถือว่าเป็นตำราพิชัยสงครามเล่มแรกในประวัติศาสตร์จีนหรือน่าแตกตื่นเหมือนกับตำราพิชัยสงคราม 7 คัมภีร์ ซึ่งเป็นมหาตำราพิชัยสงครามซึ่งเป็นการรวบรวมสุดยอดพิชัยสงครามของจีนโบราณ ทั้ง 7เล่ม คือ ตำราพิชัยสงคราม ซุนวู เง่าคี้ หลิวเทา และอื่นๆอีก 4 เล่ม เข้าด้วยกันหรือไม่
ท่านขมวดไว้เพียงสั้นๆว่า คติพจน์สูงสุดของยามโรงไฟฟ้าบามแบกคือ
"เวลาต่อสู้ถึงที่สุด ให้รักษาชีวิตไว้
ยอมทุกอย่าง เพื่อจะรักษาชีวิตไว้
เพื่อกลับมาใหม่"
คุณปรีดาไม่เพียงแต่จำขึ้นใจแต่ยังได้เอามาใช้ในชีวิตจริงและนั่นทำให้ท่านรู้จักแพ้และสามารถหวนกลับคืนมาได้อีก
ถ้าคุณทักษิณ ยกย่องว่า คุณปรีดาเป็นครูการเมืองย่อมได้สุดยอดวิชานี้ไปด้วยและน่าจะเป็นอย่างนั้น หาไม่คุณทักษิณคงไม่ได้ฟื้นกลับมาอีกหลังการปฏิวัติเมื่อปี 2549
น่าสนใจว่า ในวิกฤตรอบนี้ หลังยื้อกันมาได้ยาวนานระหว่าง คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ
คุณทักษิณจะใช้วิชาการเมืองอย่างไรเพื่อจะให้ได้ชัยชนะ?
ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ประวัติศาสตร์บอกได้อย่างหนึ่งว่า ถึงที่สุดแล้วคุณทักษิณจะใช้วิชาอาจารย์ปู่แน่ เพราะเขาแพ้ไม่เป็น


