วาจาแห่งความเกลียดชังกับวาจาแห่งความจริง (ตอนจบ)
วาจาแห่งความเกลียดชังนั้น ทำงานเช่นเดียวกันกับ “วาทกรรม” (Discourse) กล่าวคือ มันใช้ภาษาที่ประกอบด้วยข้อเท็จ/ข้อจริงบางชุด ที่ต้องการเข้าไปยึดกุมกำหนด “ความรู้” ของผู้คนในสังคม แต่ความรู้นั้นแฝงไปด้วย “อารมณ์ความเกลียดโกรธชิงชัง” ซึ่งนำไปสู่การทำให้ผู้เชื่อวาทกรรมนั้น “รู้สึก/มีทัศนคติ” ในทางลบ/ร้ายต่อผู้ที่ถูกกล่าวถึง และนั่นนำไปสู่ “พฤติกรรมเกลียดชังระหว่างบุคคลและทางสังคม” ตามมา
วาจาแห่งความเกลียดชังนั้น ทำงานเช่นเดียวกันกับ “วาทกรรม” (Discourse) กล่าวคือ มันใช้ภาษาที่ประกอบด้วยข้อเท็จ/ข้อจริงบางชุด ที่ต้องการเข้าไปยึดกุมกำหนด “ความรู้” ของผู้คนในสังคม แต่ความรู้นั้นแฝงไปด้วย “อารมณ์ความเกลียดโกรธชิงชัง” ซึ่งนำไปสู่การทำให้ผู้เชื่อวาทกรรมนั้น “รู้สึก/มีทัศนคติ” ในทางลบ/ร้ายต่อผู้ที่ถูกกล่าวถึง และนั่นนำไปสู่ “พฤติกรรมเกลียดชังระหว่างบุคคลและทางสังคม” ตามมา
ในสถานการณ์ความขัดแย้ง การพูดความจริงกับการใช้วาจาความเกลียดชังนั้น มักดำเนินอยู่ควบคู่กัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งมีทั้งข้อเท็จ ข้อจริง และอารมณ์ความรู้สึกทางการเมืองผสมปนเปกันในนั้นพร้อมกัน
การรู้เท่าทันวาจาแห่งความเกลียดชัง มีความสามารถแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากอารมณ์โกรธแค้นทางการเมือง จึงเป็นเรื่องที่ยากเอาการที่คนทั่วๆ ไปจะพอมีสติทำได้
แต่การสื่อสารเพื่อสร้างความเกลียดชัง กับการสื่อสารเรื่องข้อเท็จจริงความจริงนั้น ไม่เหมือนกัน
การสื่อสารเพื่อสร้างความเกลียดชัง มักพุ่งเป้าไปที่การสร้างความรู้สึกโกรธแค้น เกลียด ชิงชัง และนำไปสู่การขู่คุกคามรุมทำร้าย โดยคิดว่านั่นคือสิ่งที่ควรกระทำต่อผู้อื่น อาจมีส่วนเสี้ยวของความจริงอยู่ในนั้นบ้าง แต่โดยมากจะใช้คำโกหก บิดเบือน หรือชุดข้อมูลที่สร้างเรื่องโคมลอยขึ้นมาเพื่อสร้างสถานการณ์ปลุกปั่นคนอื่นๆ ให้หลงเชื่อมากกว่า
ส่วนการสื่อสารความจริงนั้น จะใช้ข้อเท็จจริงที่ตรงตามความจริง แน่นอนว่าข้อเท็จจริงนั้นอาจทำร้ายหรือหักล้างความเชื่อฝังใจของเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และนั่นอาจนำมาสู่ความรู้สึกผิดหวัง ตกใจ หดหู่ หรือโกรธแค้นได้เช่นกัน
เช่น ข้อเท็จจริงของโครงการจำนำข้าว หรือการบริหารงานราชการของเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองที่คดโกงฉ้อราษฎร์ เมื่อถูกเปิดโปง เปิดเผย ตรวจสอบขึ้นมา ก็อาจทำให้ประชาชนโกรธจนตัวสั่น เสื่อมศรัทธา คลายความนิยม และนำไปสู่ความเกลียดชังได้ในที่สุด
อาจกล่าวได้ว่า ผู้คนในโลกแห่งความเกลียดชังจะถูกชักจูงด้วยเนื้อหาเชิงอารมณ์ที่รุนแรงจากฐานของข้อเท็จจริงที่บิดเบี้ยว ขณะที่ผู้คนในโลกแห่งความจริงจะถูกชักจูงด้วยข้อเท็จจริงที่หักล้างความคิดความเข้าใจเดิม เขาไม่ทราบหรือหลงเชื่อเข้าใจผิดมาตลอด
ความโกรธแค้นของการถูกหลอก ปกปิดความจริง กับความโกรธแค้น เพราะถูกปลุกปั่นด้วยข้อมูลเท็จ มันคนละความหมายกัน แต่มองดูเผินๆ อาจจะคล้ายกัน คือ ความโกรธชิงชังของผู้คน
“ความเกลียดชังนั้น มิใช่อำนาจในทางลบที่ควรพูดก่นด่าประณาม มันขึ้นอยู่กับว่าความเกลียดชังนั้นถูกก่อกำเนิดสร้างมาจากข้อมูลและเจตนาใด?”
ระหว่างความโกรธชังที่นำไปสู่ความจริงที่น่าตกใจ กับความเกลียดชังที่นำไปสู่ความรุนแรงที่ดูธรรมดา?
มองในมุมหนึ่ง สื่อมวลชนบางค่าย บางสำนักเองก็มีส่วนในการสื่อสารข้อความแห่งความเกลียดชัง ด้วยการปกปิด บิดเบือน หรือกลบเกลื่อนชุดความจริงบางอย่างที่ฝ่ายตนเองมีส่วนเกี่ยวข้อง และก็มักใช้ความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพภาษาของตน สื่อสารด้วยสำนวนและลีลาที่ไปมีส่วนกำหนดความรู้สึกของผู้ชม ผู้อ่านปลายทางให้มีทัศนคติต่อเรื่องราวนั้นได้ในทิศทางที่พวกเขาต้องการ
และมองในมุมกลับ เราประชาชนทุกคนจึงควรระมัดระวังและรู้เท่าทันการไม่นำเสนอข้อความสารแห่งความเกลียดชังนี้ต่อสาธารณะ เช่น
(1) พึงใช้ภาษาสุภาพและเหมาะสมในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ต้องไม่แสดงความเห็นไปในทางสร้างความเกลียดชัง ในทางสร้างความเข้าใจผิด และยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังต่อกลุ่มเป้าหมาย
หมั่นตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร คัดกรอง ไม่นำเสนอภาพและเสียงที่ส่อไปทางยุยงปลุกปั่นบุคคลหรือคณะบุคคลให้กระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นๆ
(2) หากข่าวสารนั้นๆ มีแง่มุมที่สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างความขัดแย้ง ความรุนแรง ความแตกแยก หรือสร้างความกระด้างกระเดื่องให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ควรหา ไตร่ตรอง และรอเวลาที่ข่าวสารนั้นๆ จะได้รับการตรวจสอบจากองค์กรสื่อที่น่าเชื่อถือก่อน ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความเร็ว หรือเป็นเพราะตนเองรู้สึกว่าข้อมูลนี้มีความลับสำคัญที่ควรเร่งรีบเผยแพร่
(3) ไม่นำเสนอข้อมูลข่าวสารอันเป็นการเหมารวม ปลุกเร้า พูดโดยให้ร้ายและสร้างความเกลียดชังให้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดๆ บนฐานของชาติพันธุ์ สัญชาติ เชื้อชาติ เพศสภาพ ความฝักใฝ่ทางเพศ ศาสนา วัฒนธรรม อุดมการณ์ทางการเมือง อายุ ความพิการทางร่างกาย หรือทางสติปัญญา
(4) ไม่ใช้ภาษาที่มีลักษณะการประณาม บริภาษ ก่นด่า ข่มขู่ หรือปฏิเสธการอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคม และควรบอก ตักเตือนกับเพื่อนๆ และคนรู้จักว่า คุณไม่เห็นด้วยกับภาษาแห่งความเกลียดชังเหล่านั้น อย่างน้อยก็พยายามทำให้มากที่สุด เช่น การลบข้อความเช่นนี้ในเฟซบุ๊กของคุณ
(5) ในสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมือง สังคม วัฒนธรรมที่รุนแรง ตระหนักว่าการนำเสนอข่าวสารที่ไม่รอบคอบจากข้อมูลข่าวสารบางอย่าง แม้จะเป็นข้อเท็จจริง แต่ก็ควรคำนึงถึงผลกระทบของการทำให้สังคมมีความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
(6) พึงตระหนักว่าการใช้ความรู้สึกรักชาติในการโน้มน้าวใจผู้คนในประเทศ บางครั้งอาจจะนำมาซึ่งการแบ่งแยก ฉะนั้นต้องระมัดระวังการปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกรักชาติของผู้คนในประเทศผ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆ
(7) ควรใช้ภาษาเรียกชื่อกลุ่มขัดแย้งต่างๆ อย่างตรงไปตรงมาตามที่แต่ละกลุ่มเรียกชื่อตนเอง ไม่ตัดสิน เช่น กลุ่มผู้ต่อต้าน กลุ่มผู้ก่อการร้าย กลุ่มผู้ใช้ความรุนแรง
(8) อย่าส่งต่อ เผยแพร่ข้อความที่มีความตั้งใจสร้างความเกลียดชัง โดยมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริงที่บิดเบือน หรือมุ่งทำลาย เข่นฆ่าฝ่ายต่างๆ อย่าตกเป็นเครื่องมือของความขัดแย้งของฝ่ายที่ต้องการเล็งเห็นความรุนแรงในสังคม
ผมยอมรับว่าหลายข้อข้างต้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน และผมก็ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่ผมเองก็หลุดสติหลงไปกับความโกรธเกลียดชิงชัง เพราะความขัดแย้งและการร่วมขบวนฝุ่นควันความขัดแย้งในสังคมการเมืองไทยปัจจุบันนั้น “ซับซ้อนและยุ่งเหยิง” จนยากที่จะมองเห็นความจริงและก้นบึ้งของความโกรธชิงชัง
ที่สุดแล้ว ผมคิดว่าเราทุกคน ทั้งสื่อ ผู้อ่าน ผู้ชม และผู้ส่งสารในสื่อสังคม โลกออนไลน์ต่างๆ ควรตระหนักถึงบทบาทของตนเอง ว่ามีส่วนทำให้วาจาแห่งความเกลียดชังนั้นแพร่กระจายขยายเข้าไปยึดกุมหัวใจและบดบังสายตา ก่อเกิดมายาอคติที่ทำให้เราเกลียดเพื่อนร่วมชาติด้วยกันหรือไม่
เราแยกแยะ “ข้อเท็จข้อจริง” และ “ความรู้สึกโกรธสิ่งผิด เกลียดผู้คน” ออกได้หรือไม่
เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรหันมาถามตัวเองให้มากกว่าเดิม!


