posttoday

วาฬ วิบากกรรมบนความเสี่ยงสูญพันธุ์

02 กุมภาพันธ์ 2557

ปีที่ผ่านมา (2556) มีข่าวเศร้าด้านสิ่งแวดล้อม ปรากฏในกรอบเล็กๆ ของสื่อต่างประเทศบางสำนัก

ปีที่ผ่านมา (2556) มีข่าวเศร้าด้านสิ่งแวดล้อม ปรากฏในกรอบเล็กๆ ของสื่อต่างประเทศบางสำนัก โดยเหตุดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ รายงานข่าวระบุว่า พบซากวาฬสเปิร์ม หรือวาฬหัวทุย (Sperm whale) วัยเจริญพันธุ์ นอนตายเกยตื้นอย่างปริศนาชายฝั่งเกาะเธอร์เชลลิ่ง ทางตอนเหนือของเนเธอร์แลนด์ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาโดยผ่าท้องของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่สุดในโลกออกดู ก็พบสาเหตุการตายอันน่าเศร้าสลด

สิ่งที่พบในระบบย่อยอาหารของยักษ์ใหญ่แห่งมหาสมุทร ที่มีลำตัวยาวกว่า 13 เมตร ก็คือ สารพัดขยะที่เคยถูกทิ้งลงสู่ท้องทะเล ซึ่งนั่นคือสาเหตุการจบชีวิตไปอย่างน่าเศร้า

และนี่ ไม่ใช่วิบากกรรมที่คล้ายคลึงกันครั้งแรก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลพบว่า เป็นสาเหตุคร่าชีวิตวาฬสเปิร์ม เพราะเมื่อย้อนกลับไป ในเมื่อเดือน มี.ค.ปีเดียวกัน มีรายงานข่าวเช่นเดียวกันว่า พบซากวาฬสเปิร์ม ขนาด 10 เมตร ถูกซัดมาเกยฝั่งทางใต้ของประเทศสเปน

ภายในท้องของวาฬสเปิร์มตัวนี้เต็มไปด้วยขยะพลาสติกชนิดต่างๆ มากมาย เช่น แผ่นอะคริลิกใสที่ใช้ทำเรือนกระจกเพาะปลูกพืช กระเป๋าพลาสติก กระป๋องสเปรย์ สายยาง เชือกไนล่อน และกระทั่งกระถางต้นไม้

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2551 ที่แหลมเรเยส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ก็เคยพบซากวาฬสเปิร์มเกยตื้นริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก โดยภายในท้อง พบพลาสติกต่างๆ เช่นกัน มีน้ำหนักรวมกว่า 200 กิโลกรัม

แต่ละปีที่ผ่านไป ชะตากรรมของวาฬกำลังถูกผลักไสไปสู่ความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ ยิ่งขึ้นทุกที โดยเฉพาะสถานการณ์ของ “วาฬสีน้ำเงิน” (Blue Whale) ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่สุด ขนาดเฉลี่ย 2526 เมตร หนัก 100-120 ตัน ก่อนเริ่มอุตสาหกรรมล่าวาฬ คาดว่ามีวาฬสีน้ำเงินในท้องทะเลราว 2-3 แสนตัว และเชื่อว่าปัจจุบันน่าจะเหลือประมาณ 1.2 หมื่นตัว ซึ่งน้อยกว่า 1% ของจำนวนเดิมที่มีอยู่ มีหลักฐานประชากรวาฬสีน้ำเงินเพิ่มจำนวนขึ้นในแอตแลนติกเหนือ

ตามประวัติศาสตร์ที่ย้อนกลับไปได้ไกลถึง 3,000 ปีก่อนคริสตกาล การล่าวาฬนั้นปรากฏอยู่ในบันทึกโบราณ ระบุว่า ชาวอินนูอิตในกรีนแลนด์เคยล่าวาฬเพื่อยังชีพ ชาวญี่ปุ่นและนอร์เวย์ เองก็ต่างมีวัฒนธรรมในการล่าวาฬ แต่นั่นไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความเลวร้าย เพราะเครื่องไม้เครื่องมือในการล่า ทำให้แต่ละครั้งเป็นไปอย่างยากลำบาก เมื่อเทียบกับปริมาณของวาฬที่มีมากนั้นแทบจะไม่กระทบกระเทือนต่อจำนวนวาฬที่ลดลงเลย

จนกระทั่งการล่าวาฬ เริ่มกลายเป็นอุตสาหกรรมในคริสศตวรรษที่ 17 อุปกรณ์และศาสตร์ในการล่าก็เริ่มถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย มีการล่าวาฬหนักขึ้นในช่วงศตววรษที่ 1819 โดยตามกลไกความต้องการของตลาดเมืองท่าต่างๆ ของสหรัฐและยุโรป ต่างถูกตั้งเป็นฐานการผลิตน้ำมันจากวาฬ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับตะเกียง

ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 20 วาฬสีน้ำเงินถูกล่าจนเกือบจะสูญพันธุ์ เดชะบุญที่ช่วงกลางทศวรรษ 1960 เริ่มมีคำนึงถึงการปกป้องวาฬชนิดนี้ และในปี 1986 ได้เริ่มมีการตั้งคณะกรรมการควบคุมการล่าวาฬนานาชาติ (International Whaling Commission) หรือไอดับเบิลยูซี (IWC) ออกมาล่าวาฬในเชิงพาณิชย์ แต่ก็ยังเปิดช่องให้มีการล่าในเชิงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้บางประเทศยังใช้ช่องทางนี้ล่าวาฬต่อไป

ไอดับเบิลยูซี จึงมีภารกิจหลัก คือกำหนดจำนวนและตารางที่เหมาะสมในการล่า เพื่อคุ้มครองวาฬบางสปีชีส์ กำหนดพื้นที่เฉพาะให้วาฬได้หลบภัยจากการล่า จำกัดจำนวนและขนาดของวาฬที่จะถูกล่า วางเงื่อนไขสำหรับการเปิดปิดฤดูกาลล่า และห้ามล่าลูกวาฬและวาฬตัวเมียที่มีลูกอ่อน และผู้ล่าวาฬยังต้องรวบรวมรายงานการจับ รวมถึงสถิติและข้อมูลเชิงชีววิทยาให้แก่คณะกรรมการด้วย

ปัจจุบันประมาณว่า เหลือวาฬสีน้ำเงินในซีกโลกใต้อยู่ประมาณ 2,300 ตัว นักวิทยาศาสตร์ระบุว่ามีหลักฐานพวกมันเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นปีละ 7% อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการประมาณจำนวนวาฬสีน้ำเงินอย่างเป็นทางการในมหาสมุทรจุดอื่นๆ ของโลก

อย่างไรก็ดี ช่องทางการล่าที่เป็นไปในเชิงวิชาการ ส่งผลให้เครื่องมือในการล่าถูกพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในรูปของเรือประมงขนาดใหญ่ที่สามารถเดินทางได้รอบโลก ที่ถูกติดตั้งอุปกรณ์อันทันสมัยอำนวยความสะดวกในการไล่ล่า ชนิดที่เรียกได้ว่า มหาสมุทรที่กว้างไกลกับปริมาณของวาฬที่ลดลง ไม่ได้กลายเป็นอุปสรรคในการค้นหาไล่ล่านัก

และนี้เอง ที่ทำให้บางประเทศยังคงแอบใช้ช่องทางนี้ ล่าวาฬเพื่อป้อนตลาดค้าอาหารทะเล แม้จะถูกต่อต้านจากนานาประเทศอย่างหนัก โดยชาติที่ตกเป็นข่าวให้เห็นอย่างต่อเนื่องก็คือ ญี่ปุ่น ตามรายงานข่าวระบุว่า ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นล่าวาฬไปกว่า 800 ตัว ในระยะเวลาเพียงเวลา 5 เดือน

กลุ่มอนุรักษ์สัตว์ทะเลนานาชาติ (Sea Shepherd Conservation Society หรือ SSCS) ออกมาเคลื่อนไหวและติดตามในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด และได้รายงานความเคลื่อนไหวว่า ได้ล่องเรือไปในน่านน้ำของออสเตรเลีย และเผชิญหน้ากับเรือล่าวาฬญี่ปุ่น และพบว่าเรือล่าวาฬของญี่ปุ่นได้สังหารวาฬนับร้อยตัวในเดือนเดียว

นอกจากนี้ กลุ่ม SSCS ยังออกมาประณามการใช้ระเบิดและคลื่นเสียง ที่นอกจากจะทำร้ายวาฬและยังส่งผลเสียต่อสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ อีกด้วย

4 ต.ค. 2554 ออสเตรเลียเรียกร้องให้ญี่ปุ่นยุติแผนการล่าวาฬในแถบขั้วโลกใต้ ท่ามกลางความวิตกกังวลของประชาคมโลก แม้จะระบุว่า เป็นการล่าวาฬเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ตามที่ญี่ปุ่นเรียก และการล่าวาฬดังกล่าวได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการล่าวาฬนานาชาติ แต่ประเทศอื่นๆ และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็กล่าวหาว่า นั่นเป็นเครื่องบังหน้าการล่าเพื่อการพาณิชย์

7 ธ.ค. 2556 สื่อมวลชนญี่ปุ่นรายงานว่า เรือจับวาฬอีก 3 ลำของญี่ปุ่นเดินทางออกจากท่าเรือชิโมะโนะเซะกิของจังหวัดยะมะงุชิ ไปยังขั้วโลกใต้ โดยไม่ได้ประกาศเนื้อหาและเวลาละเอียดของการเดินทางครั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้องค์การอนุรักษ์วาฬมารบกวน ทำให้การเดินทางครั้งนี้ราบรื่น อีกทั้งจัดให้มีเรือคุ้มกันติดตามไปด้วย คาดว่าการจับวาฬครั้งนี้จะต่อเนื่องจนถึงเดือน มี.ค.ปีนี้

ดูเหมือนว่า มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เริ่มจะกลายเป็นสถานที่อยู่ยาก สำหรับวาฬเข้าไปทุกที เพราะนอกเหนือจากภัยคุกคามชีวิตวาฬ ทั้งจากที่แหล่งอาหารที่ลดลงและการไล่ล่าจากมนุษย์อย่างไม่ลดละ มันกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง โดยไม่อาจหลีกเลี่ยง

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ