ประชาธิปไตยตามหลักสากล
ประชาธิปไตยนั้นมาจากรากศัพท์คำในภาษากรีก ว่า Demokratia เป็นการผสมกันระหว่างคำว่า ประชาชน (Demo) กับการปกครอง (Kratos) ดังนั้น ในภาษากรีก ว่า Demokratia จึงหมายถึงการปกครองโดยปวงชน ซึ่งมิติแต่ดั้งเดิมของประชาธิปไตยจึงเรียบง่าย และสามารถแบ่งแยกออกจากการปกครองรูปแบบอื่นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น ระบอบอัตตาธิปไตย การปกครองโดยผู้มีอำนาจเด็ดขาดเพียงผู้เดียว ระบอบคณาธิปไตย ฯลฯ
ประชาธิปไตยนั้นมาจากรากศัพท์คำในภาษากรีก ว่า Demokratia เป็นการผสมกันระหว่างคำว่า ประชาชน (Demo) กับการปกครอง (Kratos) ดังนั้น ในภาษากรีก ว่า Demokratia จึงหมายถึงการปกครองโดยปวงชน ซึ่งมิติแต่ดั้งเดิมของประชาธิปไตยจึงเรียบง่าย และสามารถแบ่งแยกออกจากการปกครองรูปแบบอื่นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น ระบอบอัตตาธิปไตย การปกครองโดยผู้มีอำนาจเด็ดขาดเพียงผู้เดียว ระบอบคณาธิปไตย ฯลฯ
ลักษณะและแนวทางการปฏิบัติของประชาธิปไตยจึงมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
ประการแรก ประชาธิปไตยเป็นการจัดการทางสถาบันที่ให้เป็นช่องทางสำหรับการตัดสินใจทางการเมืองที่ประชาชนมีอำนาจผ่านการเลือกตั้ง
ประการที่สอง ประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่ผู้ปกครองจะมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ผ่านทางการแข่งขันและความร่วมมือของระบบตัวแทนทางอ้อมของประชาชน
ประการที่สาม ประชาธิปไตยเป็นบรรทัดฐานทางการเมืองที่บ่งบอกถึงความเสมอภาคและความยุติธรรม
จากองค์ประกอบเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงย่อมไม่ใช่เป็นแต่เพียงการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น หากแต่หัวใจสำคัญจะเป็นการที่ประชาชนจะต้องสามารถควบคุมกิจกรรมทางการเมืองหลังจากช่วงเวลาที่การเลือกตั้งแล้ว
นอกจากนี้ ประชาธิปไตยไม่ได้ยึดโยงอยู่แต่เพียงว่าใครได้รับความนิยมจากประชาชนมากกว่ากัน แต่ยังจะต้องครอบคลุมถึงความรับผิดชอบและความรับผิด (Responsibility and Accountability) อีกด้วย
แนวคิดของประชาธิปไตย จึงไม่ได้ยึดโยงไว้กับบริบททางวัฒนธรรมใดเป็นพิเศษ แม้ว่าคุณค่าประชาธิปไตยจะคล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละบริบท โดยสิ่งที่เห็นพ้องกันโดยสากล คือ การเคารพในสิทธิของประชาชน และสิ่งนี้จะประสบความสำเร็จได้ดีที่สุดในรัฐที่มีการเคารพประชาธิปไตยภายใต้หลักนิติธรรม
รูปแบบของประชาธิปไตย จึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะสามารถคัดลอกจากรัฐหนึ่งไปสู่อีกรัฐหนึ่งได้
เพื่อความกระจ่างให้กับองค์ประกอบของประชาธิปไตย สหประชาชาติจึงได้ออกมติที่ประชุมใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 59/201 เรื่องการเสริมสร้างบทบาทขององค์กรระดับภูมิภาค องค์กรระดับอนุภูมิภาค และองค์กรอื่นๆ และการเตรียมการในการส่งเสริมและการทำให้ระบอบประชาธิปไตยมั่นคง ในปี ค.ศ. 2004 โดยมีรัฐเห็นด้วย 172 รัฐ และมี 15 รัฐ ที่งดออกเสียง แต่ก็ไม่มีรัฐใดคัดค้าน จึงถือได้ว่าเป็นการให้องค์ประกอบของประชาธิปไตยได้อย่างสากลที่สุด โดยระบุว่า
“องค์ประกอบที่สำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย รวมถึงการเคารพสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน รวมถึงเสรีภาพในการสมาคมและการชุมนุมอย่างสงบ และในการแสดงออกและความคิดและสิทธิในการมีส่วนร่วมในดำเนินการของกิจการสาธารณะโดยตรง หรือผ่านผู้แทนที่ถูกเลือกอย่างอิสระ การออกเสียงลงคะแนนและได้รับการเลือกตั้งจากการเลือกตั้งโดยเสรีอย่างแท้จริง โดยที่มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และโดยการลงคะแนนลับที่รับประกันถึงการแสดงออกที่เป็นอิสระตามความประสงค์ของประชาชน รวมทั้งระบบพหุนิยมของพรรคการเมืองและองค์กรต่างๆ ที่เคารพกฎต่อหลักนิติรัฐ การแบ่งแยกอำนาจ ความเป็นอิสระของตุลาการ ความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการบริหารงานของภาครัฐและเสรีภาพ ความเป็นอิสระ และความหลากหลายของสื่อ”
การให้องค์ประกอบนี้ของสหประชาชาติ ก็มิได้ปิดกั้นมิให้รัฐสมาชิกแสวงหาองค์ประกอบที่สำคัญอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุอยู่ในมติสหประชาชาติข้างต้น กล่าวโดยสรุปก็คือ องค์ประกอบของประชาธิปไตยนี้เป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำของความเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น
องค์กรรายงานความเป็นประชาธิปไตยสากล (Democracy Reporting International) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาภาคเอกชนระหว่างประเทศ ได้ออกรายงานเรื่องฉันทานุมัติสากล : องค์ประกอบสำคัญของประชาธิปไตย โดยยึดมติสหประชาชาติดังกล่าวเป็นหลัก และได้วางองค์ประกอบสำคัญของประชาธิปไตยเอาไว้ 7 ประการ ดังนี้
การแบ่งแยกและถ่วงดุลอำนาจ (Separation and balance of power) คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ของการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ควรที่จะมากระจุกอยู่ที่อำนาจใดอำนาจหนึ่ง แต่ควรที่จะกระจายอำนาจในแต่ละส่วนให้สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างอิสระ ภายใต้หลักสำคัญคือ อำนาจทั้งสามส่วนจะต้องถูกจำกัดและแบ่งแยกอย่างชัดเจน และอำนาจทุกส่วนต้องผูกพันตามหลักนิติธรรม
ความเป็นอิสระของตุลาการ (Independence of the judiciary) คือ ความเป็นอิสระทั้งในทางกฎหมายและในทางข้อเท็จจริง เพื่อให้อำนาจตุลาการแยกออกมาจากอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารได้อย่างแท้จริง จึงจะเป็นการให้ศาลมีบทบาทในการยืนยันความรับผิดชอบ สามารถใช้อำนาจทางการปกครอง รวมถึงการยุติข้อพิพาทต่างๆ
ระบบพรรคการเมืองและองค์กรที่มีความหลากหลาย (A pluralistic system of political parties and organisations) เป็นที่ยอมรับในปัจจุบันว่าระบบพรรคการเมืองเดียวไม่สามารถตอบสนองต่อเสรีภาพในการรวมกลุ่มและเสรีภาพอื่นๆ ได้ ระบบพรรคที่มีความหลากหลาย จึงไม่ใช่การมีหลายพรรคการเมือง แต่เป็นการมีระบบการเมืองที่หลากหลาย โดยตัวชี้วัดความหลากหลายจึงไม่ได้มีแต่เพียงหลายพรรคการเมือง แต่จะมีแนวทางการเมืองที่หลากหลายด้วย สำหรับองค์กรภาคประชาสังคมจึงเป็นส่วนที่เชื่อมโยงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความสนใจอื่นๆ ระหว่างรัฐกับรัฐบาล
การเคารพในหลักนิติธรรม (Respect for the rule of law) คือ การที่หน่วยงานของภาครัฐทั้งหมดจะต้องเคารพต่อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อันเป็นเครื่องยืนยันว่าจะไม่มีปัจเจกชนหรือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจะอยู่เหนือกฎหมายได้
ความรับผิดและความโปร่งใส (Accountability and transparency) เป็นสาระสำคัญของประชาธิปไตยในระบบการบริหารงานภาครัฐ และปรับใช้กับหน่วยงานของรัฐทุกภาคส่วน เป็นการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับกิจกรรมของรัฐบาล และบังคับใช้กฎหมายลงโทษผู้ที่กระทำผิด ซึ่งการจะให้มีความรับผิดนี้ได้ จึงจำต้องมีความโปร่งใสอันเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในข้อมูลข่าวสารด้วย
เสรีภาพ ความเป็นอิสระ และความหลากหลายของสื่อ (Free, independent and pluralistic media) เพราะสื่อเป็นส่วนที่สร้างความหลากหลายให้กับสังคม ก่อให้เกิดความรับผิด ให้กลไกของรัฐมีความโปร่งใส รวมถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
การเคารพสิทธิมนุษยชนและสิทธิทางการเมือง (Respect for human and political rights) อาทิ เสรีภาพในการสมาคมและการแสดงออกทางการเมืองเป็นศูนย์กลางของแนวคิดประชาธิปไตย ซึ่งรวมไปถึงการแสดงออกของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล หรือสิทธิในการลงคะแนนเสียงและการลงเลือกตั้ง อันเป็นแก่นของประชาธิปไตยที่เป็นเวทีให้สาธารณชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง
ถ้าจะเปรียบว่าน้ำมีรูปร่างได้หลากหลาย ที่อุณหภูมิปกติก็เป็นของเหลว ถ้าร้อนก็เป็นไอน้ำ ถ้าเย็นก็เป็นน้ำแข็ง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ องค์ประกอบของน้ำที่ยังคงเป็น H2O ประชาธิปไตยก็เช่นกัน ที่สามารถมีรูปร่างของมันได้หลากหลายรูปแบบ เพราะประเทศต่างๆ ก็มีรูปแบบของประชาธิปไตยอย่างหลากหลาย แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือองค์ประกอบ
องค์ประกอบของประชาธิปไตยของไทยจะเป็นเช่นไร ย่อมไม่ห่างไปจากพื้นฐานขององค์ประกอบประชาธิปไตยสากลที่กล่าวมาข้างต้น
สังคมควรจะถามว่าประเทศไทยมีองค์ประกอบประชาธิปไตยได้ตามมาตรฐานสากลแล้วหรือยัง n
ประชาธิปไตยนั้นมาจากรากศัพท์คำในภาษากรีก ว่า Demokratia เป็นการผสมกันระหว่างคำว่า ประชาชน (Demo) กับการปกครอง (Kratos) ดังนั้น ในภาษากรีก ว่า Demokratia จึงหมายถึงการปกครองโดยปวงชน ซึ่งมิติแต่ดั้งเดิมของประชาธิปไตยจึงเรียบง่าย และสามารถแบ่งแยกออกจากการปกครองรูปแบบอื่นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น ระบอบอัตตาธิปไตย การปกครองโดยผู้มีอำนาจเด็ดขาดเพียงผู้เดียว ระบอบคณาธิปไตย ฯลฯ
ลักษณะและแนวทางการปฏิบัติของประชาธิปไตยจึงมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
ประการแรก ประชาธิปไตยเป็นการจัดการทางสถาบันที่ให้เป็นช่องทางสำหรับการตัดสินใจทางการเมืองที่ประชาชนมีอำนาจผ่านการเลือกตั้ง
ประการที่สอง ประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่ผู้ปกครองจะมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ผ่านทางการแข่งขันและความร่วมมือของระบบตัวแทนทางอ้อมของประชาชน
ประการที่สาม ประชาธิปไตยเป็นบรรทัดฐานทางการเมืองที่บ่งบอกถึงความเสมอภาคและความยุติธรรม
จากองค์ประกอบเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงย่อมไม่ใช่เป็นแต่เพียงการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น หากแต่หัวใจสำคัญจะเป็นการที่ประชาชนจะต้องสามารถควบคุมกิจกรรมทางการเมืองหลังจากช่วงเวลาที่การเลือกตั้งแล้ว
นอกจากนี้ ประชาธิปไตยไม่ได้ยึดโยงอยู่แต่เพียงว่าใครได้รับความนิยมจากประชาชนมากกว่ากัน แต่ยังจะต้องครอบคลุมถึงความรับผิดชอบและความรับผิด (Responsibility and Accountability) อีกด้วย
แนวคิดของประชาธิปไตย จึงไม่ได้ยึดโยงไว้กับบริบททางวัฒนธรรมใดเป็นพิเศษ แม้ว่าคุณค่าประชาธิปไตยจะคล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละบริบท โดยสิ่งที่เห็นพ้องกันโดยสากล คือ การเคารพในสิทธิของประชาชน และสิ่งนี้จะประสบความสำเร็จได้ดีที่สุดในรัฐที่มีการเคารพประชาธิปไตยภายใต้หลักนิติธรรม
รูปแบบของประชาธิปไตย จึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะสามารถคัดลอกจากรัฐหนึ่งไปสู่อีกรัฐหนึ่งได้
เพื่อความกระจ่างให้กับองค์ประกอบของประชาธิปไตย สหประชาชาติจึงได้ออกมติที่ประชุมใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 59/201 เรื่องการเสริมสร้างบทบาทขององค์กรระดับภูมิภาค องค์กรระดับอนุภูมิภาค และองค์กรอื่นๆ และการเตรียมการในการส่งเสริมและการทำให้ระบอบประชาธิปไตยมั่นคง ในปี ค.ศ. 2004 โดยมีรัฐเห็นด้วย 172 รัฐ และมี 15 รัฐ ที่งดออกเสียง แต่ก็ไม่มีรัฐใดคัดค้าน จึงถือได้ว่าเป็นการให้องค์ประกอบของประชาธิปไตยได้อย่างสากลที่สุด โดยระบุว่า
“องค์ประกอบที่สำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย รวมถึงการเคารพสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน รวมถึงเสรีภาพในการสมาคมและการชุมนุมอย่างสงบ และในการแสดงออกและความคิดและสิทธิในการมีส่วนร่วมในดำเนินการของกิจการสาธารณะโดยตรง หรือผ่านผู้แทนที่ถูกเลือกอย่างอิสระ การออกเสียงลงคะแนนและได้รับการเลือกตั้งจากการเลือกตั้งโดยเสรีอย่างแท้จริง โดยที่มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และโดยการลงคะแนนลับที่รับประกันถึงการแสดงออกที่เป็นอิสระตามความประสงค์ของประชาชน รวมทั้งระบบพหุนิยมของพรรคการเมืองและองค์กรต่างๆ ที่เคารพกฎต่อหลักนิติรัฐ การแบ่งแยกอำนาจ ความเป็นอิสระของตุลาการ ความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการบริหารงานของภาครัฐและเสรีภาพ ความเป็นอิสระ และความหลากหลายของสื่อ”
การให้องค์ประกอบนี้ของสหประชาชาติ ก็มิได้ปิดกั้นมิให้รัฐสมาชิกแสวงหาองค์ประกอบที่สำคัญอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุอยู่ในมติสหประชาชาติข้างต้น กล่าวโดยสรุปก็คือ องค์ประกอบของประชาธิปไตยนี้เป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำของความเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น
องค์กรรายงานความเป็นประชาธิปไตยสากล (Democracy Reporting International) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาภาคเอกชนระหว่างประเทศ ได้ออกรายงานเรื่องฉันทานุมัติสากล : องค์ประกอบสำคัญของประชาธิปไตย โดยยึดมติสหประชาชาติดังกล่าวเป็นหลัก และได้วางองค์ประกอบสำคัญของประชาธิปไตยเอาไว้ 7 ประการ ดังนี้
การแบ่งแยกและถ่วงดุลอำนาจ (Separation and balance of power) คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ของการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ควรที่จะมากระจุกอยู่ที่อำนาจใดอำนาจหนึ่ง แต่ควรที่จะกระจายอำนาจในแต่ละส่วนให้สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างอิสระ ภายใต้หลักสำคัญคือ อำนาจทั้งสามส่วนจะต้องถูกจำกัดและแบ่งแยกอย่างชัดเจน และอำนาจทุกส่วนต้องผูกพันตามหลักนิติธรรม
ความเป็นอิสระของตุลาการ (Independence of the judiciary) คือ ความเป็นอิสระทั้งในทางกฎหมายและในทางข้อเท็จจริง เพื่อให้อำนาจตุลาการแยกออกมาจากอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารได้อย่างแท้จริง จึงจะเป็นการให้ศาลมีบทบาทในการยืนยันความรับผิดชอบ สามารถใช้อำนาจทางการปกครอง รวมถึงการยุติข้อพิพาทต่างๆ
ระบบพรรคการเมืองและองค์กรที่มีความหลากหลาย (A pluralistic system of political parties and organisations) เป็นที่ยอมรับในปัจจุบันว่าระบบพรรคการเมืองเดียวไม่สามารถตอบสนองต่อเสรีภาพในการรวมกลุ่มและเสรีภาพอื่นๆ ได้ ระบบพรรคที่มีความหลากหลาย จึงไม่ใช่การมีหลายพรรคการเมือง แต่เป็นการมีระบบการเมืองที่หลากหลาย โดยตัวชี้วัดความหลากหลายจึงไม่ได้มีแต่เพียงหลายพรรคการเมือง แต่จะมีแนวทางการเมืองที่หลากหลายด้วย สำหรับองค์กรภาคประชาสังคมจึงเป็นส่วนที่เชื่อมโยงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความสนใจอื่นๆ ระหว่างรัฐกับรัฐบาล
การเคารพในหลักนิติธรรม (Respect for the rule of law) คือ การที่หน่วยงานของภาครัฐทั้งหมดจะต้องเคารพต่อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อันเป็นเครื่องยืนยันว่าจะไม่มีปัจเจกชนหรือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจะอยู่เหนือกฎหมายได้
ความรับผิดและความโปร่งใส (Accountability and transparency) เป็นสาระสำคัญของประชาธิปไตยในระบบการบริหารงานภาครัฐ และปรับใช้กับหน่วยงานของรัฐทุกภาคส่วน เป็นการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับกิจกรรมของรัฐบาล และบังคับใช้กฎหมายลงโทษผู้ที่กระทำผิด ซึ่งการจะให้มีความรับผิดนี้ได้ จึงจำต้องมีความโปร่งใสอันเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในข้อมูลข่าวสารด้วย
เสรีภาพ ความเป็นอิสระ และความหลากหลายของสื่อ (Free, independent and pluralistic media) เพราะสื่อเป็นส่วนที่สร้างความหลากหลายให้กับสังคม ก่อให้เกิดความรับผิด ให้กลไกของรัฐมีความโปร่งใส รวมถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
การเคารพสิทธิมนุษยชนและสิทธิทางการเมือง (Respect for human and political rights) อาทิ เสรีภาพในการสมาคมและการแสดงออกทางการเมืองเป็นศูนย์กลางของแนวคิดประชาธิปไตย ซึ่งรวมไปถึงการแสดงออกของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล หรือสิทธิในการลงคะแนนเสียงและการลงเลือกตั้ง อันเป็นแก่นของประชาธิปไตยที่เป็นเวทีให้สาธารณชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง
ถ้าจะเปรียบว่าน้ำมีรูปร่างได้หลากหลาย ที่อุณหภูมิปกติก็เป็นของเหลว ถ้าร้อนก็เป็นไอน้ำ ถ้าเย็นก็เป็นน้ำแข็ง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ องค์ประกอบของน้ำที่ยังคงเป็น H2O ประชาธิปไตยก็เช่นกัน ที่สามารถมีรูปร่างของมันได้หลากหลายรูปแบบ เพราะประเทศต่างๆ ก็มีรูปแบบของประชาธิปไตยอย่างหลากหลาย แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือองค์ประกอบ
องค์ประกอบของประชาธิปไตยของไทยจะเป็นเช่นไร ย่อมไม่ห่างไปจากพื้นฐานขององค์ประกอบประชาธิปไตยสากลที่กล่าวมาข้างต้น
สังคมควรจะถามว่าประเทศไทยมีองค์ประกอบประชาธิปไตยได้ตามมาตรฐานสากลแล้วหรือยัง


