ระพี ผ่องบุพกิจ อดีตนักข่าว ปัจจุบันผู้ว่า อนาคต....?
....วิมลวรรณ ปิตธวัชชัย
ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2533 นิตยสารการเมืองรายสัปดาห์สู่อนาคต เป็นนิตยสารการเมืองที่รวบรวมนักคิดนักเขียนที่มีฝีมือความสามารถไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้นิตยสารการเมืองฉบับนี้มีความโดดเด่นในการนำเสนอข่าวที่มีเนื้อหาสาระที่เจาะลึกข่าวสารการเมือง และเหตุการณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองในช่วงเวลานั้นได้อย่างรอบด้าน เป็นที่ยอมรับนับถือจากผู้อ่านว่าเป็นนิตยสารการเมืองที่มีคุณภาพเล่มหนึ่ง
แม้นิตยสารสู่อนาคตจะมีเหตุให้มีอันต้องปิดตัวลงในที่สุด แต่ก็เป็นที่น่าพอใจที่บรรดานักข่าวผู้ที่ร่วมกันทำงานอย่างแข็งขันในนิตยสารเล่มนี้ต่างก็แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพที่ประสบความสำเร็จมากมายไม่ว่าจะเป็นศาสตราจารย์ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อดีตรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี อลงกรณ์ พลบุตร สส.พรรคประชาธิปัตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ คำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา รวมไปถึง ระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์คนปัจจุบัน ซึ่งว่ากันว่าได้ใช้ความรู้ความสามารถในการเป็นนักข่าวเก่ามาปรับใช้ในงานบริหารการปกครองให้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี
เราจึงน่าจะมาดูความเป็นมาเป็นไปของอดีตนักข่าวเก่าผู้ประสบความสำเร็จในการบริหารการปกครองของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ชื่อ ระพี ผ่องบุพกิจ คนนี้ดู
ระพี ผ่องบุพกิจ มีพื้นเพเป็นคน จ.บุรีรัมย์ เกิดเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2503 ในครอบครัวของพ่อค้ารายย่อย ที่บ้านห้วยราช ต.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ มีพี่น้องร่วมสายโลหิตจำนวน 9 คน จบการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนไตรคามสิทธิศิลป์ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ แล้วเข้าศึกษาต่อระดับมัธยมที่โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม จากนั้นก็สอบเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่กรุงเทพฯ แต่เรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้เพียงหนึ่งเทอมก็มีเหตุให้ต้องลาออกกลับไปบ้านเกิด เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคมจนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้สอบเข้าคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยความสนใจใฝ่รู้ในเรื่องการเมืองการปกครอง
หลังจากเรียนจบปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ ก็มีความสนใจอยากจะทำงานในสนามข่าวโดยเฉพาะข่าวการเมือง จึงไปสมัครทำงานกับนิตยสารการเมืองรายสัปดาห์สู่อนาคตในยุคที่รุ่นพี่นักเรียนรัฐศาสตร์เช่นเดียวกัน เป็นบรรณาธิการคือ ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ได้ตั้งใจทำงานข่าวด้วยความมุ่งมั่น ทำให้ระพีเป็นนักข่าวหนุ่มอีกผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำข่าว เจาะข่าวโดยเฉพาะข่าวการเมือง การทหาร และความมั่นคง เป็นที่ไว้วางใจของแหล่งข่าวและผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการเมืองไม่น้อย ทำให้นิตยสารสู่อนาคตได้รับความสนใจและเป็นที่เชื่อถือของผู้อ่านเป็นอย่างมาก
แม้ ระพี ผ่องบุพกิจ จะให้ความเอาใจใส่ทุ่มเทกับการทำงานข่าวด้วยความรับผิดชอบและขยันขันแข็ง แต่ด้วยความหวังและความใฝ่ฝันที่อยากรับราชการเป็นนักปกครองให้สมกับการศึกษาที่ได้ร่ำเรียนมา ระหว่างการทำงานเป็นนักข่าว ระพี ก็ปลีกเวลาไปเรียนต่อระดับปริญญาโททางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) จนสำเร็จการศึกษา พร้อมๆ กับที่ได้ไปสมัครรับราชการที่กระทรวงมหาดไทย เพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิต จากการเป็นนักข่าวเข้าสู่อาชีพข้าราชการเป็นนักปกครอง กระทรวงมหาดไทย
แล้วในปี 2527 ระพี ผ่องบุพกิจ ก็อำลาวงการนักข่าวไปดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ปี 2528 ได้เป็นปลัดอำเภอ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ปี 2530 เป็นบุคลากร งานบรรจุและแต่งตั้ง กองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2537 เข้าศึกษาในหลักสูตรนายอำเภอรุ่นพี่ 36 ปี 2539 เป็นนายอำเภอลำสนธิ จ.ลพบุรี ปี 2540 เป็นนายอำเภอพัฒนานิคม จ.ลพบุรี ปี 2542 เป็นนายอำเภอพระพุทธบาท จ.สระบุรี ปี 2545 เป็นผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ปี 2546 เป็นผู้อำนวยการสถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ปี 2547 เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ปี 2549 เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด ปี 2550 เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี ปี 2552 เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ
ปี 2553 เป็นผู้ว่าฯ.สุรินทร์
ตลอดระยะเวลาที่รับราชการ กระทรวงมหาดไทยไม่ว่าจะได้รับความไว้วางใจให้ไปรับราชการในตำแหน่งใดก็ตาม ระพี ผ่องบุพกิจ จะตั้งใจรับราชการและปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างสุดกำลังเต็มความสามารถไม่เคยปล่อยปละละเลยปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกเรื่อง ไม่ว่าปัญหาเหล่านั้นจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความรอบรู้ในฐานะนักปกครอง อีกทั้งยังมีจิตวิญญาณความเป็นนักข่าวที่ยังคงมีอยู่ในตัวอย่างเต็มที่ ทำให้ ระพี เป็นนักปกครองที่แยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ได้เป็นอย่างดี สามารถที่จะจัดระบบระเบียบเพื่อให้ภาครัฐได้ทำงาน อย่างเข้าถึงและทำให้การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในแต่ละพื้นที่มีพื้นฐานวัฒนธรรมและวิธีคิดแตกต่างกันได้เป็นผลสำเร็จ
จึงเห็นได้ว่าในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ที่ ระพี ผ่องบุพกิจ ได้เข้าไปรับราชการอยู่นั้น ประชาชนจะได้รับความเอาใจใส่ในการแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ การส่งเสริมคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ถนนหนทาง การฝึกอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องสุขภาพอนามัยเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น การให้ความรู้ความเข้าใจแก่ข้าราชการฝ่ายปกครองในเรื่องเศรษฐกิจการเมือง เพื่อที่ข้าราชการทั้งหลายจะได้ไปให้ความรู้ นำไปสร้างความเข้าใจให้เกิดแก่ประชาชน โดยเฉพาะความเข้าใจอันถูกต้องของระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในขณะที่ฝ่ายปกครองที่มาจากภาครัฐ จะต้องเหนื่อยหนักกับการทำงาน เพื่อสร้างความเข้าใจอันถูกต้องให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการที่จะต้องธำรงไว้ ซึ่งความมั่นคงของชาติและสถาบันหลักของประเทศ ในท่ามกลางความเหลื่อมล้ำทางสังคมและความด้อยโอกาสของผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่นักปกครองผู้มีความเข้าใจและเข้าถึงปัญหาของประชาชนในชนบทอย่าง ระพี ผ่องบุพกิจ ก็ไม่เคยย่อท้อ ได้ใช้ความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานประกอบกับการรู้แยกแยะปัญหาเข้าไปสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกพื้นที่ ทำความเข้าใจพูดคุยและให้ความช่วยเหลือห่วงใย แก้ปัญหาความเดือดร้อนโดยไม่หวั่นไหวต่อความระแวงแคลงใจของฝ่ายใด ด้วยถือตนว่าเป็นข้าราชการที่มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่าจะต้องไม่เลือกสีเลือกข้าง ไม่ยอมเป็นทั้งข้าราชการฟักทองหรือข้าราชการมะเขือเทศ แต่เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พร้อมจะมาทำหน้าที่แก้ปัญหาเพื่อความอยู่ดีกินดี และเพื่อประโยชน์ของประชาชนที่ยากจนและด้อยโอกาส
ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อ ระพี ผ่องบุพกิจ รับราชการเป็นนายอำเภอพัฒนานิคม จ.ลพบุรี เมื่อปี 2540 ก็ได้เป็นผู้นำในการเจรจาต่อรองให้ราษฎรผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้รับประโยชน์จากโครงการ จนสามารถแก้ปัญหาให้แก่ราษฎร และทำให้ราษฎรได้รับประโยชน์จากการมีที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตรได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการป้องกันมิให้น้ำเหนือไหล่บ่ามาท่วมในกรุงเทพมหานครด้วย ทำให้รัฐบาลในขณะนั้นสามารถนำความขึ้นกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงเปิดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ได้ในปี 2542
ต่อมาในปี 2544 ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพระพุทธบาท จ.สระบุรี ก็ได้ดำเนินการจัดระเบียบชาวม้งที่พักรักษาตัวอยู่ ณ วัดถ้ำกระบอก ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2 หมื่นคน ได้อย่างเรียบร้อยอันเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การเคลื่อนย้ายชาวม้งออกจากที่พักสงฆ์ ในวัดถ้ำกระบอกได้เป็นผลสำเร็จในเวลาต่อมา
ในปี 2552 ระหว่างดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ก็ได้สร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีในระดับพื้นที่จังหวัดพระวิหาร จังหวัดอุดรมีชัย และจังหวัดเสียมราฐแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ทำให้ความสัมพันธ์ในระดับพื้นที่มีความเข้าใจต่อกันเป็นอันดีและแน่นแฟ้นขึ้น ในท่ามกลางปัญหาการลดระดับความสำคัญทางการทูตของรัฐบาลในขณะนั้น การติดต่อค้าขายและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศจึงเป็นไปอย่างดียิ่ง
การที่ ระพี ผ่องบุพกิจ ได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดชายแดนด้านกัมพูชา ซึ่งเพิ่งจะมีข่าวคราวของการกระทบกระทั่งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยและกัมพูชาเมื่อไม่นานมานี้ ก็หวังว่า ระพี ผ่องบุพกิจ นักปกครองมือดีที่มีความมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชนคนนี้จะมีส่วนสำคัญที่จะเข้าไปสร้างมิตรภาพและความเข้าใจอันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้มีความแนบแน่นมากกว่าที่เป็นอยู่เพื่อประโยชน์ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
แล้วผลแห่งการมุ่งมั่นตั้งใจ ทุ่มเททำงาน อย่างเต็มกำลังเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองอย่างไม่ท้อถอย คงจะทำให้อนาคตในตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยในวันข้างหน้าของนักปกครองที่ชื่อ ระพี ผ่องบุพกิจ อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม


