พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ตำรวจที่เคยเป็นน้ำดี?
ยังคงจะไม่สายเกินไปที่นายตำรวจเคยมีประวัติดีเด่น อย่าง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว จะเลือกทางเดินให้ตนเองในยามแก่
วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
เมื่อพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ปี 2555 แม้จะเป็นที่รู้กันว่าเป็นความเห็นชอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผ่านการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และมือประสานสิบทิศของ อิงอร แสงสิงแก้ว พี่สาวแท้ๆ ของพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีตเลขานุการคนใกล้ชิดของไพโรจน์ เปี่ยมพงศ์สานต์ ที่ภายหลังผันตัวเองออกมาทำงานให้ ยงยุทธ ติยะไพรัช พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล พี่น้องชินวัตร และนักการเมืองคนสำคัญในพรรคเพื่อไทย
แต่ด้วยประวัติชีวิตทางราชการที่ดีเด่นตลอดจนการให้สัมภาษณ์ของพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ต่อสื่อมวลชน ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ว่า ภารกิจผมคือเป็นตำรวจอาชีพ จะดูแลความปลอดภัย ชีวิตทรัพย์สินประชาชนด้วยความซื่อสัตย์เป็นธรรม...ผมขออุทิศตนทั้งหมดในการทำภารกิจนี้ให้ดีที่สุด เวลาจะพิสูจน์ ผมจะไม่คุยอะไรมาก... ทำให้ประชาชนรู้สึกอุ่นใจ และเชื่อในความเป็นคนดีที่มีมโนธรรมสำนึกของนายตำรวจที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฏร์
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เกิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน ปี 2497 ที่อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เป็นบุตรชายคนเดียว ในจำนวนพี่น้อง 7 คน ของนายอุดม และ นางอัมรา แสงสิงแก้ว จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนอนุบาลนครพนม, ประถมศึกษาจากโรงเรียนสุนทรวิจิตร, มัธยมศึกษาจากโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย, มัธยมศึกษาปีที่ 4-5 ที่โรงเรียนเทเวศร์ศึกษา เป็นนักเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 29, ปริญญาโทด้านพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรฝ่ายอำนวยการ, จบวิทยาลัยเสนาธิการทหารรุ่นที่ 33, วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ 42, จบหลักสูตรมินิครุศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ หลักสูตรความเป็นเลิศของนักบริหาร มธ. สถาบันวิทยาลัยตลาดทุนรุ่น 5
หลังจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้เข้ารับราชการที่กรมตำรวจทำหน้าที่รอง สวป.สน.ปทุมวันในปี 2519 ระหว่างนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเข้มแข็ง ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนด้วยความสุจริตยุติธรรมเป็นที่ศรัทธาเชื่อถือของประชาชนเป็นอย่างมาก ต่อมาในปี 2526 ร.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ได้ทำหนังสือถึงกรมตำรวจ อาสาไปปฏิบัติงานในพื้นที่ทุรกันดารที่ อ.นาแก จ.นครพนม ซึ่งขณะนั้นมีสถานการณ์ก่อการร้ายรุนแรง ร.ต.อ.อดุลย์ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้านปราบปรามอย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวจนได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนประดับเปลวระเบิด จากนั้นก็ย้ายไปเป็นสารวัตรสถานีตำรวจภูธร กิ่งอ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร ขณะที่รับราชการที่จ.มุกดาหาร ร.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ได้นำตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาออกเยี่ยมเยียนราษฎร์ ช่วยพัฒนาหมู่บ้าน ช่วยเกี่ยวข้าว สร้างธนาคารข้าว ดูแลประชาชนผู้เจ็บป่วย สอนหนังสือเด็กนักเรียน จนกระทั่งประชาชนให้ความรักความไว้วางใจเชื่อมั่นศรัทธา ในการปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีระเบียบวินัยมีความซื่อสัตย์สุจริตมีจิตสำนึกสาธารณะมีขีดความสามารถสูง ในการปฏิบัติหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ราษฎร ส่งผลให้มีผู้ก่อการร้ายในขณะนั้นเข้ามอบตัวกับทางราชการเป็นจำนวนมาก ทำให้พื้นที่ปราศจากโจรผู้ร้ายประชาชนมีความอบอุ่นใจและสุขสงบ ส่งผลให้ ร.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ได้รับรางวัลตำรวจดีเด่นในปี 2526 และได้รับยกย่องให้เป็น “คนไทยตัวอย่าง” ของมูลนิธิธารน้ำใจ ในปี 2527
ในวันที่ 4 มกราคม ปี 2528 ร.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ก็ได้เข้าพิธีสมรสกับสาวงามที่ชื่ออรัญญา อรัญญากานนท์ บุตรสาวของเพื่อนสนิท ของครอบครัว พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจและหัวหน้านายตำรวจราชสำนัก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่านายตำรวจน้ำดีอย่าง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร จะชื่นชมและสนับสนุนความเจริญก้าวหน้าทางราชการของนายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลอย่าง ร.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ตลอดมา
จากนั้น ร.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ก็ไปดำรงตำแหน่ง สว.สภ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาการ, ผบ.ร้อย 4 หห.1 รร.นรต., หน.ผ.3 ยุทธการ กก.ตชด.13 จ.กาญจนบุรี, รอง ผกก.อก.ตชด.ภาค 1, รอง ผกก.2 สสน.ตชด., อาจารย์ภาควิชาทหารและทหารฝึก ร.ร.นรต., รอง ผบก.รร.นรต., รอง ผบก.ตชด.ภาค 1, ผบก.สำนักงานแผนงานและงบประมาณ ผบก.จร., ผู้ช่วย ผบช.น., รอง ผบช.น., ผบช.ภ.3, ผบช.ภ.9, ผู้ช่วย ผบ.ตร., ปรึกษา (สบ 10) , รอง ผบ.ตร. และ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)
นอกจากนี้ ยังเคยดำรงตำแหน่งพิเศษ อาทิ 2 ธันวาคม 2545 คณะที่ปรึกษาฝ่ายวางแผนยุทธศาสตร์ กรุงเทพมหานคร, 21 กุมภาพันธ์ 2546 นายตำรวจราชสำนักเวร, 22 กันยายน 2549 กรรมการข้าราชการตำรวจ, 11 ตุลาคม 2549 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สมัยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) , 12 ธันวาคม 2549 กรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน, 19 พฤศจิกายน 2551 กรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, 17 มีนาคม 2552 กรรมการองค์การตลาด, 21 กุมภาพันธ์ 2552 นายตำรวจราชสำนักเวร, 19 มีนาคม 2553 นายตำรวจราชสำนักพิเศษ
ตลอดระยะเวลาที่รับราชการ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยว่าเป็นนายตำรวจราชสำนักเวรที่ซื่อสัตย์จงรักภักดี มีผลงานเป็นนายตำรวจมืออาชีพที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม และชาติบ้านเมืองเสมอมา แม้แต่ตอนที่มีข่าวว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว จะได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและได้เดินทางไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่จะต้องรับใช้นายใหญ่อย่างเต็มที่ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นายตำรวจน้ำดีที่เชื่อมั่นในความเป็นคนดีของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ยังเขียนบทความสนับสนุนการเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ทั้งยังยืนยันด้วยว่า นายตำรวจที่รับราชการมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และบำเพ็ญตนเป็นนายตำรวจอาชีพที่ถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นใหญ่นั้น จะไม่มีวันเดินทางไปพบนักโทษหนีคดี คอรัปชั่นเพื่อขอตำแหน่งแน่นอน
แต่มาบัดนี้ไม่เพียงแต่ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เท่านั้นที่จะผิดหวัง และเสียใจกับพฤติกรรมอันไม่น่าเชื่อของคนที่เคยเป็นคนดีอย่าง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว แม้แต่คณะกรรมการมูลนิธิธารน้ำใจที่เคยพิจารณายกย่องให้นายตำรวจที่ชื่อ อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นคนไทยตัวอย่างเมื่อในอดีตยังเสียความรู้สึกไม่คิดว่านายตำรวจที่เคยมีความคิดดี มีอุดมการณ์เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติบ้านเมืองจะมาเสียคนเอาตอนใกล้เกษียณ แม้จะมีมโนธรรมสำนึกแสดงความกล้าหาญอันมีอยู่น้อยนิด ออกมายอมรับว่า ชายชุดดำที่อยู่บนหลังคากระทรวงแรงงาน และคนที่ทุบรถพยาบาลอาสาในเหตุการณ์ที่หน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นตำรวจ แต่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นสำนึกของนายตำรวจที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎรแต่อย่างใด ด้วยไม่ได้ใส่ใจทำการสอบสวนหาความจริงให้ปรากฏ ไม่คิดจะรับผิดชอบกับการเสียชีวิตของประชาชนหรือแม้ตำรวจผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน
ยังคงจะไม่สายเกินไปที่นายตำรวจเคยมีประวัติดีเด่น เป็นที่หวังและชื่นชมของสังคมไทยในอดีตอย่าง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว จะเลือกทางเดินให้ตนเองในยามแก่ว่าอยากมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินนี้ได้โดยสง่าผ่าเผย หรือยอมที่จะจบชีวิตของตนเองไปพร้อมกับระบอบทักษิณ


