มฤคาบันลือสีหนาท
ความคิดที่จะ “ขึ้นภู” ไม่เคยอยู่ในหัวสมองของเขาเลย
ความคิดที่จะ “ขึ้นภู” ไม่เคยอยู่ในหัวสมองของเขาเลย
ในช่วงชีวิตยุคต้น คงมีตัวอักษรนับแสนนับล้านตัวที่ผ่านสายตาและความคิด ในฐานะบุตรชายคนโตของอาจารย์สำนักปรัชญาลัทธิหญู อันว่าหลักสูตร 5 ตำรา 4 คัมภีร์ 4 เล่มแห่งสำนักนั้นย่อมจำได้ขึ้นใจ เมื่ออายุเพียง 10 ขวบอ่านสามก๊กกับไซอิ๋วจนเจนจบ คราวหนึ่งถึงกับยอมแลกข้าวสารหนึ่งกระสอบกับตำรา “วิพากษ์เหตุผลบริสุทธิ์” ของ อิมมานูเอล คานท์ จากนั้นตะลุยอ่าน “ว่าด้วยทุน” ของ คาร์ล มาร์กซ์ ค้นหาความหมายชีวิตผ่านพระคัมภีร์เก่าและใหม่ และสารพัดตำราทั้งจากฟากบูรพาและปัศจิมทิศอีกกว่า 70 เล่ม ในช่วงเวลาวัยเยาว์อันเร่าร้อน
ความปรารถนาหรืออาจเติมเต็ม? แม้นจะเป็นความมุ่งมาดปรารถนาเพื่อแสวงหาจุดหมายชีวิตผ่านปรัชญาอันลุ่มลึกก็ตาม
ชีวิตของเขาก้าวมาเกือบถึงปลายทางการค้นหา เมื่อสมถยานิกผู้นั้นมอบหนังสือ “มรรคนิเทศคีตา” ผลงานรจนาของ หย่งเจีย เสวียนเจี๋ย วิปัสสนาจารย์ยุคราชวงศ์ถัง
เขาบันทึกความทรงจำหลังการค้นพบไว้ว่า “แสงสว่างเจิดจ้า จุดขึ้นมาทำลายความมืดบอดจนสิ้น” จนบังเกิดปสาทะแรงกล้าถึงกับเก็บข้าวของมุ่งหน้าไปบำเพ็ญเพียรยังอารามเหนือภูสูงแห่งหนึ่ง คร่ำเคร่งกับการภาวนาเป็นที่กล่าวขานเลื่องลือ กระทั่งได้รับการชักจูงให้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
แต่จนแล้วจนรอด เขาไม่คิดที่จะ “ขึ้นภู” เพื่อจำศีลบนนั้นเลยแม้แต่น้อย เพียงรู้สึกอิ่มเอมกับการเพ่งพินิจปริศนาการเกิดดับของสรรพสิ่ง
มิหนำซ้ำบิดามารดายังเคี่ยวเข็ญให้เขาปักหลัก ณ เบื้องล่างเยี่ยงปุถุชน กระทั่งยินยอมเข้าพิธีสมรส นับเป็นความโล่งใจของบุพการีผู้ยึดมั่นในหลักการลัทธิหญูที่หมายมั่นให้บุตรต้องมีทายาทเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลกับเซ่นสรวงบรรพชนมิให้ขาดช่วงลงได้
แต่มีสิ่งใดในใต้หล้าหรือที่เชื่อมต่อแล้วไม่เคยขาดช่วง มีสิ่งใดบังเกิดแล้วมิวางวาย?
เขาถือกำเนิดในอาณาจักรโบราณที่เคยยืนยง แต่บัดนี้กลับล่มสลาย กลายเป็นข้าเบื้องบาทอีกอาณาจักรยุคใหม่ที่กำลังจวนเจียนจะล่มสลายในอีกไม่นานเกินรอ และในอีกไม่นานเช่นกัน แผ่นดินสันติจะกลายเป็นสมรภูมิและยุทธภูมิจะกลายเป็นแผ่นดินสันติอีกครา เพื่อที่จะโกลาหลจากไฟสงครามในกาลข้างหน้าไม่สิ้นสุด ดังผู้รจนาสามก๊กได้พรรณนาไว้
อะไรเล่าคือสิ่งที่ยืนยงนิรันดร์ อันใดเล่าคือแก่นสาร ปรารถนาของชีวิตคนผู้หนึ่งช่างมิต่างกับเอื้อมคว้าแสงดาวและก้าวไล่แสงแดด เป็นสงครามที่ไร้วันสงบศึกกับตัวเอง
ในวัย 25 ปี ชายหนุ่มทำสัญญาสงบศึกกับตัวเอง แม้มันจะหมายถึงการต้องทิ้งเมียและลูกในท้องวัย 6 เดือนไว้เบื้องหลัง ทิ้งแม่ผู้ชราและยศถาบรรดามี แล้วตัดสินใจขึ้นภูสู่วัด “แฮอินซา” อันหมายความว่า “สาครมุทราราม”
ช่วงชีวิตของสรรพสัตว์แหวกว่ายในสาครแห่งสังสารวัฏไม่จบสิ้น แต่ชายหนุ่มบังเกิดนิพพิทาแล้ว หวังจะว่ายข้ามไปสู่อีกฝั่งเสียที
ในยุคที่พระธรรมวินัยถูกเย้ยหยัน วัตรปฏิบัติอันเข้มข้นของนักบวชยุคทองเมื่อหลายศตวรรษก่อนได้รับการรื้อฟื้นด้วยความเพียรขั้นอุกฤษฏ์
จากการปฏิบัติอันเข้มข้น กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดขบวนการการปฏิรูปศาสนจักรที่ถูกกดขี่จากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและความหย่อนยานของศิษย์ตถาคตจอมปลอม ไม่นานนัก ชื่อเสียงและการยกย่องหลั่งไหลเข้ามา ฐานะและความรับผิดชอบถูกโยนมาใส่มืออย่างไม่เกรงใจ โลกธรรมได้ส่งแบบทดสอบอันท้าทายยิ่งมาให้เขาอีกครั้ง
ใช่ เขาหมายจะสงบศึกกับตัวเองและบรรลุเจตนารมณ์นั้นในฐานสมณะรูปหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วสงครามยังไม่จบสิ้น
ขบวนการปฏิรูปเผชิญกับแรงต้านหนักหน่วงจากภายในและภายนอก และแน่ล่ะ ภายในจิตใจของนักบวชเช่นกัน
วันที่ 15 ของเดือน ส.ค. 1945 มหาสงครามเอเชียบูรพาสิ้นสุดลง แผ่นดินเกิดได้รับการปลดปล่อยจากเจ้าอาณานิคม แต่มันนำมาซึ่งความวุ่นวายอีกรูปแบบหนึ่ง เบื้องล่างเกิดการแย่งชิงอำนาจในนามของความรักชาติ เบื้องบนภูศรัทธาถูกบิดเบือนในนามของเงินตราและมาตุคาม มรรคาไม่ผิดเส้นทางอันรกเรื้อ และสัจธรรมกลายเป็นเครื่องต่อรองระหว่างนิกาย
ขบวนการกวาดล้างอลัชชีถูกขัดขวางด้วยกลเม็ดนานา และความบ้าคลั่งของอุดมการณ์ซ้ายขวาเริ่มกลืนชีวิตผู้บริสุทธิ์จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นล้าน!
ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติกำลังหยิบอาวุธขึ้นประหัตประหารระหว่างเส้นขนานที่ 38 และขณะที่บรรพชิตจองเวรกันในนามของพระธรรมวินัย สมณะหนุ่มรู้สึกท้อแท้หรือไม่นั้นมีเพียงสวรรค์ที่หยั่งรู้ รู้เพียงแต่ว่า การขึ้นภูแสวงหาพระธรรมไม่อาจหยุดอยู่เพียงไหล่ภู
ในห้วงเวลาที่อารามเหนือขุนคีรีตกอยู่ใต้เงาอบาย สมณะสละตำแหน่งเจ้าอธิการที่หลายคนปรารถนา บ่ายหน้าสู่อีกระดับขั้นของภูผาและภพภูมิ สถานที่แห่งนั้นซ่อนตัวอยู่ในพงไพรอันสงบรำงับในป่าแห่งมฤคา
ป่าแห่งมฤคา ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาคายา แม้ทั่วแผ่นดินจะร้อนเป็นไฟแต่ความทุรกันดารของมันช่วยปกป้องพุทธสถานจากความวิบัตินับแต่อดีต จนกล่าวกันว่า อัคคี วาตะ และอุทกภัย ไม่อาจกล้ำกรายเทือกเขานี้
แม้บางครั้งมนุษย์เองยังยากจะเหยีบบย่างเข้ามา อย่าว่าแต่จะดำรงชีวิตอยู่เลย
แต่สมณะดั้นด้นมาถึงใจกลางลำเนาไพร ขังตัวเองในวงล้อมของรั้วลวดหนามกลางป่าทึบเพียงลำพัง มีฝูงเนื้อทรายเป็นสหาย และตำราร่วมสมัยและต่างสมัยมากมายเป็นเพื่อนคู่คิด ภัตตาหารมีเพียงใบสน ผักหญ้า ธัญพืชเพียงหยิบมือ แต่อิ่มเอมในอมตรส
เว้นแต่ศิษยานุศิษย์และสหายธรรมไม่กี่คน ในชั่วเวลา 10 ปี แทบไม่เคยมีผู้ใดสามารถขึ้นภูสู่ป่ามฤคา
แต่เหตุใดสมณะจึงต้องขังตัวเองในวงล้อมพงไพร แสวงหามรรคาในบ้านของเหล่ามฤคา?
ภาษิตโบราณกล่าว ยามบ้านเมืองประสบทุกข์เข็ญ ปราชญ์จะซ่อนตัวในพงไพร แม้นในพุทธประวัติยังบอกเล่าการปลีกวิเวกของพระศาสดา ณ ป่าแถบหมู่บ้านปาลิเลยยกะ เมื่อคราคณะสงฆ์บังเกิดความแตกแยก
เพียงรอเวลาที่ความบ้าคลั่งจะอโหสิกรรมให้กับตัวเอง
คราหนึ่งผู้เป็นศิษย์ไต่ถามด้วยความกังขา เหตุใดท่านจึงตื่นแต่เช้าตรู่ เสียเวลากล่าวคำอโหสิกรรมยืดยาว หรือว่าท่านละเมิดอกุศลกรรมอันใด?
ผู้เป็นอาจารย์วิสัชนาว่า “หากผมกล่าวอโหสิกรรมแก่ตัวเองแล้ว คงไม่อาจเรียกตัวเป็นชาวพุทธ เพราะชาวพุทธที่แท้นั้นย่อมกล่าวอโหสิกรรมแทนสรรพสัตว์ทั้งหลาย”
นักบวชดำรงตนเยี่ยงเนื้อทรายมีสติสัมปชัญญะระแวดระไว แต่ภายในภายนอกมิได้หวั่นไหวดั่งพญาราชสีห์ ตราบจนโลกข้ามผ่านทศวรรษแห่งสงครามเย็นอันร้อนรุ่ม แต่ผู้บำเพ็ญภาวนาไม่เคยหยุดความเร่าร้อนในการแสวงหาโลกอันสงบเย็น
10 ปีหลังจากนั้น สงครามสิ้นสุด ความบ้าคลั่งละพยศ เสียงภาวะประกาศคำอโหสิกรรมแก่เวไนยสัตว์ได้รับการตอบสนองแล้ว
สมณะลงจากขุนคีรีอย่างองอาจ สมกับฉายาว่า “พยัคฆ์แห่งคายาคีรี” และเริ่มต้นเทศนาธรรม 100 วันอันลือลั่น ดุจดังสีหนาทบันลือระบือไปทั่วขุนเขาคายาและสากลโลก
นับแต่บัดนั้น โลกมิได้รู้จัก “ซองชอลซือนิม” ในฐานะสมณะผู้สามัญอีกต่อไป


