โลกลุ้นไทย2วันอันตรายตร.ยกระดับสาดกระสุนผู้ชุมนุม
การขีดเส้นตายให้เวลารัฐบาลนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2 วัน ทำตามข้อเรียกร้องของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย
โดย...นันทิยา วรเพชรายุทธ
การขีดเส้นตายให้เวลารัฐบาลนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2 วัน ทำตามข้อเรียกร้องของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) หรือภายในวันที่ 3 ธ.ค. ท่ามกลางการเข้ามามีบทบาทของกองทัพเป็นครั้งแรกในฐานะคนกลางไกล่เกลี่ยระหว่างนายกรัฐมนตรี และ สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ในวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 นั้น ส่งผลให้ทั่วโลกยิ่งจับชีพจรประเทศไทยก่อนส่งท้ายปี 2013 อย่างลุ้นระทึกว่าจะมีบทสรุปออกมาอย่างไร
ไฮไลต์ที่บรรดาสื่อต่างประเทศแทบทุกสำนักจับตาเป็นพิเศษหนีไม่พ้นท่าทีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ปรากฏตัวและแถลงผ่านสื่อเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีผู้เสียชีวิตจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งล่าสุดนี้เมื่อคืนวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา และยังเป็นการแถลงครั้งแรกหลังได้พบผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพอีกด้วย
สำนักข่าวรอยเตอร์สพาดหัวรายงานว่า “ผู้นำไทยวอนเจรจา ในขณะที่ตำรวจใช้กระสุนยางกับผู้ชุมนุม” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้ ยิ่งลักษณ์ จะยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมลาออกหรือยุบสภา และย้ำว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงต่อการประท้วงครั้งนี้ ทว่าในขณะเดียวกัน ทางตำรวจกลับยกระดับรับมือการชุมนุมด้วยการใช้กระสุนยางกับผู้ประท้วงเป็นครั้งแรกแล้ว
รายงานระบุว่า ยิ่งลักษณ์ แถลงจะเปิดประตูทุกบานเพื่อผ่าทางตันวิกฤตการณ์ ทางการเมืองครั้งนี้อย่างสันติและย้ำว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม ทว่าในเวลาต่อมา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กลับแถลงยอมรับว่ามีการใช้กระสุนยางกับผู้ชุมนุม ซึ่งพยายามจะบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล หรือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ผู้ชุมนุมพยายามบุกยึดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนับเป็นการยกระดับการรับมือขึ้นไปอีกขั้น หลังจากที่มีการใช้แก๊สน้ำตาไปแล้วหลายรอบก่อนหน้านี้
รอยเตอร์สยังระบุด้วยว่า กองทัพได้กลับเข้ามามีบทบาทในวิกฤตการณ์รอบใหม่นี้อีกครั้ง ทว่าเป็นการอยู่เบื้องหลังในฐานะคนกลางเจรจาระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายผู้ชุมนุม ขณะที่ก่อนหน้านี้กองทัพคือฝ่ายที่มีบทบาทสำคัญโดยอยู่ขั้วตรงกันข้ามกับฝ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และยังเข้าปราบปรามการชุมนุมเมื่อปี 2010 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คนอีกด้วย
ทางด้านสำนักข่าวเอพีรายงานในทิศทางเดียวกันว่า นายกรัฐมนตรีปฏิเสธข้อเรียกร้องของ กปปส. ว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ เนื่องจากการมอบอำนาจให้สภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งนั้นเป็นสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงวิงวอนว่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาอย่างสันติ
เอพียังรายงานถึงความรุนแรงทางการเมืองรอบใหม่ที่ทำให้ประเทศไทยยิ่งดำดิ่งสู่ภาวะวิกฤต โดยระบุว่า สำนักงานองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ต้องปิดทำการชั่วคราวในวันที่ 2 ธ.ค. พร้อมส่งอีเมลภายในแจ้งเตือนไปยังพนักงานว่าอาจเกิดความรุนแรงขึ้นในวงกว้างภายในวันดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ยูเอ็นควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่ราชการและบรรดาที่ชุมนุมประท้วง
สถานทูตฝรั่งเศสนั้นได้ออกคำเตือนการเดินทางรอบใหม่ ซึ่งเป็นคำเตือนที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในบรรดาสถานทูตต่างชาติในไทย โดยแนะนำให้พลเมืองฝรั่งเศสอยู่แต่ภายในที่พัก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไทยบนท้องถนน
ขณะที่สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนนั้น พาดหัวข่าวต่างจากทุกสำนักว่า “นายกฯ ไทยพร้อมลาออกเพื่อสันติภาพ” โดยรายงานว่านายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ แถลงพร้อมลาออกหรือยุบสภาเพื่อนำสันติภาพกลับมาสู่ประเทศไทย ทว่าปฏิเสธที่จะทำตามข้อเรียกร้องของ กปปส. ด้วยการให้อำนาจสภาประชาชน เนื่องจากขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
สื่อของทางการจีนให้ความเห็นด้วยว่า แม้วิกฤตดังกล่าวอาจจะนำไปสู่การลาออกของ ยิ่งลักษณ์ และการยุบสภาตามมาในที่สุด ซึ่งอาจช่วยยุติการชุมนุมประท้วงได้ ทว่าอาจไม่สามารถยุติความขัดแย้งที่ฝังรากลึกระหว่างคนทั้งสองฝ่ายได้ ซึ่งบรรดาผู้สังเกตการณ์ต่างเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับชัยชนะอีกครั้งหากมีการเลือกตั้งใหม่
การยกระดับทั้งในแง่ของการชุมนุมและการรับมือการชุมนุมนั้น ยังทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงปัญหาการชุมนุมที่อาจบานปลายไปสู่ความรุนแรงในวงกว้างอีกด้วย โดยหนังสือพิมพ์จาการ์ตา โกลบ ในอินโดนีเซีย รายงานว่า ประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน ของอินโดนีเซีย ได้จับตาสถานการณ์ในไทยอย่างใกล้ชิด พร้อมให้สถานทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทยดูแลความปลอดภัยของพลเมืองแดนอิเหนาอย่างเต็มที่
ทางด้านหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล ได้ตีพิมพ์บทความในชื่อ “การปฏิวัติของประชาชนโดยคนส่วนน้อยของประเทศไทย” โดยให้ความเห็นว่า ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และจัดตั้งสภาประชาชนหรือไม่ การชุมนุมครั้งนี้ก็จะส่งผลต่อทิศทางของประชาธิปไตยไทยตามมาอย่างแน่นอน
บทความส่วนหนึ่งโดย ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่มีทางออกที่ง่าย ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้ก็ต่อเมื่อต้องมีการเลือกตั้งใหม่ภายใต้สถานการณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น
ทว่า หาก ยิ่งลักษณ์ รอดพ้นวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้ นายกฯ ก็ควรแถลงขอโทษประชาชนต่อกรณีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ จากนั้นจึงยุบสภาเลือกตั้งใหม่ในกลางปี 2014 ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เองก็ควรต้องยกเครื่องทั้งในแง่ความเป็นผู้นำใหม่ นโยบายใหม่ๆ และยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งหากได้คะแนนเสียงเลือกตั้งมากขึ้น โอกาสที่จะเคลื่อนไหวนอกสภาก็จะน้อยลง
อย่างไรก็ดี ที่สุดแล้วการเลือกตั้งก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะรักษาได้สารพัดโรค การปกครองของรัฐบาลเสียงส่วนใหญ่นั้นจำเป็นต้องรับฟังและอยู่ร่วมกับเสียงส่วนน้อยด้วย นักการเมืองต้องยกระดับตัวเอง ปัญหาคอร์รัปชั่นที่ระบาดในยุคทักษิณต้องได้รับการแก้ไข พร้อมทั้งต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับระบบตรวจสอบและถ่วงดุลทางการเมือง


