posttoday

สาธารณรัฐแห่งประเทศไทย

24 พฤศจิกายน 2556

ถ้าประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ?

ถ้าประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ?

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ได้กล่าวในการเสวนา เรื่อง “กฎหมายนิรโทษกรรม : ลักหลับหรือสับขาหลอก” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสำคัญตอนหนึ่งว่า ถ้าปล่อยให้นักการเมืองกลุ่มนี้ปู้ยี่ปู้ยำกฎหมายต่างๆ ได้เหมือนกฎหมายนิรโทษกรรม ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการออกกฎหมายเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่การปกครองแบบสาธารณรัฐได้

อาจารย์บรรเจิดอ้างถึงประเทศเยอรมนีในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฮิตเลอร์ขึ้นมามีอำนาจโดยอาศัยความคลั่งชาติของคนเยอรมัน พรรคนาซีได้รับเสียงข้างมากขึ้นปกครองประเทศ จากนั้นก็ได้แก้กฎหมายต่างๆ ให้อำนาจแก่คณะผู้ปกครองจนเยอรมนีกลายเป็นเผด็จการและนำเยอรมนีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วดำเนินนโยบายการสงครามอย่างบ้าคลั่ง นำหายนะมาสู่ชาติเยอรมนี สร้างความเสียหายในระดับนานาชาติ กลายเป็นตราบาปแก่มนุษยชาติมาถึงปัจจุบัน กระทั่งเมื่อมีการฟื้นฟูประเทศจึงต้องวางกลไกในการป้องกันไม่ให้ผู้ปกครอง หรือรัฐสภาใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่ง สิ่งหนึ่งนั้นก็คือระบบศาลรัฐธรรมนูญ

ความจริงนั้นเยอรมนีก่อนสมัยฮิตเลอร์ ก็มีการปกครองในรูปแบบของสาธารณรัฐอยู่แล้ว เพียงแต่ประเด็นของอาจารย์บรรเจิดก็คือ “ระบบเสียงข้างมากลากไป” อย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญของไทยก็ได้แถลงไว้ในคำตัดสินกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาของ สว. ว่ามีความบกพร่องในกระบวนการพิจารณาแก้ไข โดยเฉพาะการลิดรอนสิทธิของสมาชิกสภาเสียงข้างน้อยและการรวบรัดดึงดันแก้ไขตามอำเภอใจของพวกเสียงข้างมาก โดยขัดหลักนิติธรรมและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการจะให้วุฒิสภาทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนทางการเมือง ทั้งนี้การที่มีเสียงข้างมากก็หาได้เป็นประชาธิปไตยไม่ เพราะยังมีองค์ประกอบอื่นอีกมาก โดยเฉพาะความถูกต้องดีงามอันเป็นหัวใจของระบอบการปกครองที่ดี

การปกครองแบบสาธารณรัฐถ้าจะว่าไปแล้วมีแนวคิดที่ต่อต้านระบอบกษัตริย์โดยตรง เป็นแนวคิดที่ถือกำเนิดขึ้นในยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17–18 แต่ถ้าจะสืบสาวราวเรื่องไปก็อาจจะย้อนไปได้ถึงสมัยกรีกที่ในยุคนั้นเรียกว่า “มหาชนรัฐ” ที่มีนักคิดคนสำคัญไล่เลียงเป็นครูเป็นศิษย์กันตามลำดับก็คือ โสกราตีส เพลโต และอริสโตเติล ที่แม้ว่าจะชื่นชมการปกครองโดยคนคนเดียวที่เรียกว่า “ราชาปราชญ์” แต่รูปแบบการปกครองในอุดมคติสูงสุดก็คือ “ประชาธิปไตยโดยตรง” ในรูปแบบ Polity หรือที่แปลว่า “มหาชนรัฐ” นี้ โดยองค์ประกอบสำคัญก็คือ “พลเมือง” ที่มีสติปัญญาความรู้ รู้บทบาทหน้าที่ มีความรับผิดชอบ และกระตือรือร้นเอาใจใส่ในการดูแลบ้านเมือง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ “คุณธรรม” คือต้องมีความคิดและความประพฤติที่ดีงามด้วย

ผู้เขียนจำได้คลับคล้ายคลับคลาครั้งที่เรียนวิชาการเมืองการปกครองยุโรปเมื่อตอนที่เป็นนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ว่า คนยุโรปก็เคยคิดที่จะปกครองแบบสาธารณรัฐมาตั้งแต่เป็นพันๆ ปีแล้วในยุคที่โรมันเรืองอำนาจ แต่ก็ซาๆ ไปภายหลังที่โรมันล่มสลาย จากนั้นชาติยุโรปก็มุ่งแข่งขันกันสร้างอาณาจักรและพันธมิตร ทำให้ระบอบกษัตริย์เข้มแข็งขึ้นมา แต่แล้วก็มี “จุดด่าง” เกิดขึ้นกับระบอบกษัตริย์ในหลายๆ ประเทศ กระทั่งมีคนยุโรปอพยพไปอยู่อเมริกา คนเหล่านี้ก็พยายามลบจุดด่างแล้วร่วมกันสถาปนาระบอบการปกครองอย่างใหม่ ซึ่งตอนแรกก็มีทีท่าว่าจะเป็นแบบสาธารณรัฐ แต่ในที่สุดก็ผสมผสานและสร้างระบอบ “สหพันธรัฐ” ที่นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าเอามาจากรูปแบบมหาชนรัฐของกรีก โดยผสมเข้ากับแนวคิดเสรีนิยมของ จอห์น ล็อค แต่กระนั้นก็ยังมีกลิ่นอายของระบอบสาธารณรัฐ อย่างเช่นชื่อพรรครีพับลิกัน เป็นต้น

ต้นแบบระบอบสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักกันดีที่สุดก็คือฝรั่งเศส ตามประวัติศาสตร์นั้นก็เกิดขึ้นจากการโค่นล้มระบอบกษัตริย์ภายใต้การนำของปัญญาชนและขุนนางกลุ่มหนึ่ง แต่ก็ประสบกับภาวะล้มลุกคลุกคลานเพราะการจัดสรรอำนาจในหมู่ผู้นำไม่ลงตัว จึงเปิดโอกาสให้นายทหารหนุ่มอย่างนโปเลียนขึ้นมาครองอำนาจและเป็นเผด็จการในนาม “มหาจักรพรรดิ” อยู่นับสิบๆ ปี โดยทำท่าว่าจะมีการสืบทอดอำนาจไปเหมือนระบอบกษัตริย์ แต่แนวคิดเรื่องสาธารณรัฐยังคงเข้มแข็งก็ฟื้นขึ้นมา และมีการปฏิรูประบอบสาธารณรัฐนั้นอยู่หลายครั้ง กระทั่งหลังสงครามโลกที่เรียกว่าสาธารณรัฐที่ 5 จึงได้ประธานาธิบดีชาร์ลส์ เดอ โกล วีรบุรุษสงครามโลกเข้ามาจัดการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่เพื่อจัดการโครงสร้างทางการเมืองเสียใหม่ ฝรั่งเศสจึงปกครองต่อเนื่องภายใต้ระบอบสาธารณรัฐยุคใหม่นี้มาจนถึงปัจจุบัน

การปกครองแบบสาธารณรัฐอาจจะถือได้ว่าเป็นการปกครองที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากประเทศอาณานิคมที่ถูกล้มล้างระบอบการปกครองแบบเดิมลงไป แล้วก็ต้องจำใจหรือถูกยัดเยียดให้มีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐนี้ขึ้นแทน แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่สถาปนาระบอบสาธารณรัฐขึ้นเพียงเพื่อให้มีชื่อที่สวยหรู หรืออย่างที่เราเรียกกันว่า “สมัยนิยม” (ขอยืมคำท่านรัฐมนตรียุติธรรมประเทศสารขัณฑ์ที่ด่านักนิติศาสตร์ด้วยกันว่าที่ต่อต้านรัฐบาลก็เพราะเป็น “แฟชั่น”) ซึ่งรวมถึงประเทศที่ต้องการจะเอาความสวยหรูนั้นมาปิดบังระบอบการปกครองที่น่ากลัว (ในความคิดของคนสมัยก่อน) เช่น ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และเผด็จการบางรูปแบบ จึงเอาคำว่าสาธารณรัฐมาตั้งต้นเป็นชื่อประเทศ เป็นต้นว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมพม่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (จีน ลาว และเวียดนาม) หรือบางประเทศแม้รัฐธรรมนูญจะบอกว่าเป็นรัฐเดี่ยวอย่างเช่นประเทศอินเดีย แต่โดยเนื้อแท้แล้วมีการปกครองคล้ายแบบสาธารณรัฐมากกว่า

ที่บรรยายเรื่องสาธารณรัฐมายืดยาวนี้ก็เพื่อไม่อยากให้คนไทยตกใจกรณีที่อาจจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ เพราะสาธารณรัฐเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีรูปแบบหนึ่ง มีรากเหง้ามาจากแนวคิดมหาชนรัฐที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูง เน้นสิทธิเสรีภาพและการกระจายอำนาจ ตลอดจนมีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็งมีประสิทธิภาพ เน้นระบบคุณธรรมและการปกครองด้วยความดีงาม แต่ปัญหาของระบอบนี้ (และรวมถึงระบอบการเมืองทุกแบบ) ก็คือ “ตัวผู้ปกครอง” ว่าจะยึดอุดมการณ์และวิธีการของระบอบสาธารณรัฐหรือไม่ หรือเพียงแต่มีชื่อว่าสาธารณรัฐสวยหรู แต่ตัวกูพวกกูครองบ้านครองเมืองกอบโกย

ระบอบทักษิณจึงน่ากลัวมากๆ ด้วยประการฉะนี้

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เบรนท์ฟอร์ด พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68