สรุปคำพิพากษาศาลโลกให้สองประเทศตกลงร่วมกัน
ตามคำตัดสินปี 2505 นั้น จุดสิ้นสุดของชะง่อนผาแห่งปราสาทพระวิหาร ซึ่งระบุอยู่ทางทิศใต้ของแผนที่ภาคผนวก 1 นั้น ประกอบไปด้วยลักษณะภูมิประเทศตามธรรมชาติ โดยทางทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตกเฉียงใต้นั้น ชะง่อนผาได้ลาดลงในแนวลาดชันลงสู่ที่ราบกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันในปี 2505 ว่า แนวลาดเอียงนี้ และพื้นที่บริเวณตีนเขาอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา
ตามคำตัดสินปี 2505 นั้น จุดสิ้นสุดของชะง่อนผาแห่งปราสาทพระวิหาร ซึ่งระบุอยู่ทางทิศใต้ของแผนที่ภาคผนวก 1 นั้น ประกอบไปด้วยลักษณะภูมิประเทศตามธรรมชาติ โดยทางทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตกเฉียงใต้นั้น ชะง่อนผาได้ลาดลงในแนวลาดชันลงสู่ที่ราบกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันในปี 2505 ว่า แนวลาดเอียงนี้ และพื้นที่บริเวณตีนเขาอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา
ในทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ พื้นที่ได้ลาดเอียงลงไปน้อยกว่าลงสู่หุบที่แยกปราสาทพระวิหารออกจากเนินภูมะเขือที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งภูมะเขือก็เป็นหุบเขาที่ลาดเอียงลงสู่ที่ราบกัมพูชาทางใต้เช่นกัน
ศาลพิจารณาเห็นว่า ภูมะเขือตั้งอยู่นอกพื้นที่ทับซ้อน และคำตัดสินปี 2505 ไม่ได้มีการตั้งคำถามว่าภูมะเขือตั้งอยู่ในเขตแดนไทยหรือกัมพูชา
ดังนั้น ศาลพิจารณาเห็นว่า ชะง่อนผาแห่งปราสาทพระวิหารนั้นสิ้นสุดลงที่ตีนเนินภูมะเขือ หรือจะกล่าวได้ว่าสิ้นสุดตรงที่พื้นที่เริ่มที่จะยกตัวขึ้นอีกครั้ง
ทางทิศเหนือ จุดสิ้นสุดของชะง่อนผาคือเส้นตามแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งก็คือจุดที่ลากจากด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวปราสาทไปจรดกับจุดทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือที่แผ่นดินเริ่มยกขึ้นอีกครั้งจากหุบที่บริเวณตีนเนินของภูมะเขือ
ศาลได้พิจารณาตามย่อหน้าที่ 2 ของคำตัดสินปี 2505 กำหนดให้ประเทศไทยถอนกำลังออกจากพื้นที่ทั้งหมดของชะง่อนผาปราสาทพระวิหารกลับยังเขตแดนของไทย ซึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่ไทยทุกคนที่ประจำการอยู่ในชะง่อนผาแห่งนั้น (ย่อหน้า 98)
คำพิพากษาปี 2505 ไม่ได้ตีความข้อโต้แย้งของไทยในเรื่องความแตกต่างของแผนที่ภาคผนวก 1 (Annax 1) กับสถานที่จริง ดังนั้น ศาลในปัจจุบันจึงไม่สามารถตีความข้อโต้แย้งนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ศาลจึงเห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรที่จะหาข้อตกลงร่วมกัน โดยห้ามมิให้การแก้ไขปัญหาเป็นการกำหนดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง...
การแก้ไข แต่ละฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันด้วยเจตนาที่ดี ซึ่งทุกรัฐต้องเคารพอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของทุกๆ รัฐ นอกจากนั้น ทุกประเทศมีหน้าที่แก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างกันโดยสันติวิธี
ข้อบังคับนี้ ซึ่งแยกออกมาจากกฎบัตรแห่งสหประชาชาติ จึงมีความสำคัญยิ่งต่อบริบทในปัจจุบัน โดยเห็นได้ชัดเจนจากบันทึกการพิจารณคดีทั้งของฉบับปัจจุบัน และฉบับปี 19591962 ตัวปราสาทพระวิหารคือสถานที่สำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมของประชาชนในภูมิภาคแห่งนี้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก
ทั้งนี้ ด้วยเคารพในประเด็นดังกล่าว ศาลจึงพิจารณาตัดสินภายใต้มาตรา 6 แห่งข้อตกลงมรดกโลกที่ทั้งไทยและกัมพูชา รวมถึงประชาคมโลกที่ต้องร่วมมือกันในการพิทักษ์ปกปักสถานที่แห่งนี้ในฐานะมรดกของโลก
นอกจากนี้ แต่ละประเทศยังอยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับที่จะต้องไม่จงใจใช้มาตรการใดๆ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อตัวสถานที่มรดกโลกแห่งนี้
ทั้งนี้ ภายใต้บริบทของข้อบังคับเหล่านี้ ศาลจึงมีความประสงค์ที่จะยืนกรานรับรองทางเข้าตัวปราสาทจากทางฝั่งกัมพูชา
บทสรุป
ดังนั้น ศาลจึงสรุปว่า ย่อหน้าแรกของคำตัดสินซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี 1962 ที่ระบุว่า กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือเขตแดนทั้งหมดของพื้นที่ส่วนที่ยื่นออกไปของปราสาทพระวิหาร ตามที่ได้ให้จำกัดความเอาไว้ในย่อหน้าที่ 98 นั้น ส่งผลต่อเนื่องถึงย่อหน้าที่สองที่ให้ประเทศไทยต้องถอนกองกำลังทหาร ตำรวจ หรือกองกำลังรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ออกจากพื้นที่ดังกล่าว


