posttoday

ย้อนรอยคดีปล่อยกู้กฤษดาฯ9.9พันล้าน

04 พฤศจิกายน 2556

ย้อนรอยคดีปล่อยกู้กฤษดามหานคร9.9พันล้านที่กฎหมายนิรโทษกำลังจะทำให้บุคคลเกี่ยวข้องพ้นผิด

โดย...บากบั่น บุญเลิศ

ถึงแม้อัยการสูงสุดจะมีมติสั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 วิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย และคณะผู้บริหารธนาคารกับพวกรวม 27 ราย ในคดีปล่อยกู้ให้กับบริษัทลูกของกฤษดามหานครในวงเงินร่วม 9,900 ล้านบาทเศษไปแล้ว

แต่ดูเหมือนว่าคดีนี้กำลังจะหายไปทันทีหากมีการนิรโทษกรรม

เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ วรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ที่ ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ รองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แปรญัตติเนื้อหาร่างให้แผ่อานิสงส์ถ้วนหน้า โดยสาระสำคัญของร่างทั้ง 7 มาตราอยู่ในมาตรา 3 ที่ระบุว่า

“...ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 ส.ค. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

...การกระทำตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112”

ทั้งนี้ จุดสำคัญที่สุดของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อยู่ที่การให้ “ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง” เท่ากับคดีทุจริตทั้งหมดที่อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมหลังการรัฐประหารนั้น หากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศใช้เท่ากับคดีดังกล่าวไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมใหม่ แต่ให้การกระทำเหล่านั้นพ้นจากความผิดทั้งหมด

คดีนี้มีการปล่อยกู้ชุดนี้มีการทำกันเป็นขบวนการ และมีการแจกเงินจากการปล่อยกู้ออกไปให้ผู้เกี่ยวข้องหลายคน ทั้ง มานพ ทิวารี เกศินี จิปิภพ มารดา กาญจนาภา หงษ์เหิน พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วิชัย กฤษดาธานนท์ เสมือนเป็นเงินปากถุงจากการผลักดันให้มีการปล่อยกู้

คดีนี้เป็นการฟ้องร้องคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลายคนอาจหลุดไป แต่หากมีการฟ้องร้องก็น่าจะครอบคลุมถึงบุคคลเหล่านี้ที่ได้รับเงินไปด้วย ได้รับเงินอย่างไรเชิญติดตาม

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ได้ตรวจสอบเส้นทางเงินกู้ที่บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค ได้รับจากธนาคารกรุงไทย จำนวน 9,900 ล้านบาท ไปใช้ในเรื่องต่างๆ จากธนาคารกว่า 30 สาขา เพื่อขยายผลการตรวจสอบการนำเงินกู้จำนวน 181 ล้านบาท ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตรวจพบว่าได้มีการจ่ายแคชเชียร์เช็คจำนวน 2 ฉบับ

ฉบับแรกโอนให้กับ มานพ ทิวารี บิดานักการเมืองในพรรคไทยรักไทย จำนวน 155 ล้านบาท

อีกฉบับโอนให้กับ พานทองแท้ ลูกชาย พ.ต.ท.ทักษิณ 26 ล้านบาท แต่มีการยกเลิกในวันเดียวกับที่มีการตีเช็คออกไป

เงินจำนวน 155 ล้านบาท ที่โอนให้กับ มานพ บิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี นักการเมืองในพรรคไทยรักไทย ถูกนำไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท กฤษดามหานคร ในปี 2547 โดยได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิจะซื้อหุ้น

ขณะที่เส้นทางการเงินของเช็คจำนวน 26 ล้านบาท ที่มีการจ่ายให้กับลูกชายนักการเมือง แม้ว่าจากการตรวจสอบจะพบว่าได้มีการยกเลิกแคชเชียร์เช็ค จำนวน 26 ล้านบาทไปแล้ว

แต่ปรากฏว่าบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค และบริษัทในเครือยังออกเช็คฉบับละ 8.4 แสนบาท จำนวน 21 ฉบับ คิดเป็นวงเงินรวม 17.64 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจองซื้อหุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT) ในส่วนของหุ้นที่กระจายให้ผู้มีอุปการคุณ

บริษัทได้นำเงินจากการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ซื้อหุ้น AOT จำนวน 4.2 แสนหุ้น จากหุ้นที่ AOT จะเสนอขายให้แก่ผู้มีอุปการคุณแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 22 ล้านหุ้น

การเข้าไปซื้อหุ้นของ AOT ครั้งนี้ กรรมการ ป.ป.ช.มีหลักฐานการตรวจสอบทั้งหมดแล้วว่าหุ้นดังกล่าวไปอยู่ที่ใด นอกจากนั้นยังตรวจสอบด้วยว่าคนที่ได้รับหุ้นดังกล่าวมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งผลการตรวจสอบไม่พบว่าคนที่ได้รับหุ้นมีการทำธุรกรรม

เรื่องดังกล่าวกรรมการ ป.ป.ช.มีความเห็นว่า เป็นการกระทำที่เข้าข่ายมูลฐานความผิดตามมาตรา 3 (4) และมาตรา 5 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และมีความผิดตามมาตรา 60 และ 61 ของกฎหมายฉบับเดียวกัน

บุคคลและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าวทั้งหมด ในความผิดฐานฟอกเงิน และความผิดตาม พ.ร.บ.กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่มาตรา 300 ขึ้นไป

ข้อมูลความผิดเหล่านี้มีอดีตกรรมการธนาคารกรุงไทยบางคนที่ ธปท.เคยกันไว้เป็นพยานเพิ่มเติมให้ปากคำไว้

เพราะมูลฐานความผิดตามมาตรา 3 (4) กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ระบุว่า “ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือฉ้อโกงหรือประทุษร้าย ต่อทรัพย์หรือกระทำโดยทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ หรือกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกระทำโดยกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบหรือมีประโยชน์เกี่ยวข้องในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น”

มาตรา 5 ระบุว่า ผู้ใดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะ หรือหลังการกระทำความผิดมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฟอกเงิน

มาตรา 60 ระบุว่า ผู้ใดกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 61 ระบุว่า นิติบุคคลใดกระทำความผิดตามมาตรา 5 มาตรา 7 มาตรา 8 หรือมาตรา 9 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง กระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น

นี่คือประเด็นหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค และพรรคพวกดำเนินการอย่างมีเงื่อนงำก็คือ เงินสินเชื่อส่วนหนึ่งถูกนำไปเข้าบัญชีส่วนตัวผู้บริหารบริษัท กฤษดามหานคร และบุคคลที่เกี่ยวข้อง

แต่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของรัฐบาล กำลังทำให้พวกคนเหล่านั้นหลุดคดีที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจิตในธนาคารของรัฐไปโดยปริยาย

ข่าวล่าสุด

ประกาศ! ปิดกั้นอ่าวไทย 'สกัดน้ำมัน-ยุทธปัจจัย' เข้ากัมพูชา