เชื้อเพลิงชีวมวลยุคที่ 1
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย พยายามส่งเสริมนโยบายการนำพลังงานทดแทนเข้ามาปรับใช้กันมากขึ้น โดยเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) หรือเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) เป็นพลังงานทดแทนที่ใช้กันแพร่หลายในขณะนี้นั้น ประกอบไปด้วย 3 รูปแบบ คือ 1.ของแข็ง ได้แก่ ชานอ้อย เศษไม้ กากปาล์ม มูลสัตว์ 2.ของเหลว ได้แก่ แอลกอฮอล์ (เอทานอลและเมทานอล) ไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชและสัตว์ ไขมันสัตว์ น้ำมันที่สกัดจากขยะ 3.ก๊าซ ได้แก่ ไบโอแก๊ส ที่ได้จากการหมักเศษอาหารหรือมูลสัตว์ เป็นต้น แต่ละประเภทจะถูกนำไปใช้งานตามความเหมาะสมแตกต่างกัน
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย พยายามส่งเสริมนโยบายการนำพลังงานทดแทนเข้ามาปรับใช้กันมากขึ้น โดยเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) หรือเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) เป็นพลังงานทดแทนที่ใช้กันแพร่หลายในขณะนี้นั้น ประกอบไปด้วย 3 รูปแบบ คือ 1.ของแข็ง ได้แก่ ชานอ้อย เศษไม้ กากปาล์ม มูลสัตว์ 2.ของเหลว ได้แก่ แอลกอฮอล์ (เอทานอลและเมทานอล) ไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชและสัตว์ ไขมันสัตว์ น้ำมันที่สกัดจากขยะ 3.ก๊าซ ได้แก่ ไบโอแก๊ส ที่ได้จากการหมักเศษอาหารหรือมูลสัตว์ เป็นต้น แต่ละประเภทจะถูกนำไปใช้งานตามความเหมาะสมแตกต่างกัน
สำหรับประเทศไทยพลังงานทดแทนที่นำมาใช้มากที่สุด คือ พลังงานจากเชื้อเพลิงชีวมวล เนื่องจากไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีพืชผลทางการเกษตรและวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรจำนวนมาก จึงมีศักยภาพในการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลสูงถึง 11,900 ktoe (พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ)
ผศ.ดร.อนุชา พรมวังขวา อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวไว้ว่า จากการจัดอันดับของคณะกรรมการเครือข่ายพลังงานทดแทนเพื่อศตวรรษที่ 21 หน่วยงานเครือข่ายการพัฒนาพลังงานทดแทน องค์กรคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ปี 2554 พบว่าไทยมีการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพเป็นอันดับ 8 ของโลก จากทั้งหมด 63 ประเทศ และเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากจีน โดยมีสหรัฐอเมริกา และบราซิล เป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพรายใหญ่ของโลก
ทั้งนี้ ประโยชน์ที่ได้จากชีวมวลนอกจากจะนำไปเผาเพื่อนำความร้อนไปผลิต กระแสไฟฟ้าแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ได้ด้วย โดยชีวมวลสำหรับยานยนต์นั้นแบ่งได้ถึง 3 ยุค ตามประเภทของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิง โดยยุคปัจจุบัน เรียกว่า ชีวมวลยุคที่ 1 (1st Generation Biofuel หรือ Conventional Biofuel) เป็นเชื้อเพลิงชีวมวลที่ผลิตมาจากพืชและสัตว์ที่ให้แป้งน้ำตาลไขมัน อาทิ เอทานอลสำหรับผสมแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล (บี100) สำหรับผสมน้ำมันดีเซล
ในหลักการวัตถุดิบที่นำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลในยุคนี้ เป็นการนำผลผลิตที่เหลือจากการบริโภคของมนุษย์และสัตว์มาใช้เป็นเชื้อเพลิง มีทั้งการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล (โมลาส) และมันสำปะหลัง รวมถึงการผลิตไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมัน แต่เนื่องจากประชากรโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการใช้พลังงานประเภทนี้ก็เพิ่มขึ้นตาม
กรณีของไทย ความต้องการใช้เอทานอลเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ทั้ง อี10 อี20 และ อี85 อยู่ที่วันละ 2.5 ล้านลิตร เพิ่มจากปีก่อนที่ใช้วันละ 1.3 ล้านลิตร ส่วนไบโอดีเซลที่นำไปผสมในดีเซล ที่ปัจจุบันมีสัดส่วน 5% และจะเพิ่มเป็น 7% ในปี 2557 ทำให้การใช้ไบโอดีเซลจะเพิ่มจากวันละ 2.8 ล้านลิตร เป็น 3.9 ล้านลิตร
อย่างไรก็ตาม พื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานที่เริ่มลดลง ทำให้กังวลว่าในระยะยาวจะมีผลกระทบต่อวงจรอาหารของมนุษย์และสัตว์ จึงได้มีการคิดค้นและพัฒนาวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลยุคที่ 2 โดยเน้นการนำวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรที่มีส่วนประกอบของเซลลูโลสและลิกนิน อาทิ ไม้เนื้ออ่อน เศษไม้ ไม้โตเร็ว ชานอ้อย ซังข้าวโพด เป็นต้น สำหรับสาระสำคัญของชีวมวลยุคที่ 23 จะนำเสนอต่อในสัปดาห์หน้า


