สัญญาผูกขาดแร่ทองคำจังหวัดเลย
สัญญาว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิวภูขุมทอง ระหว่างกรมทรัพยากรธรณี กับบริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ และกับบริษัท ทุ่งคำ ทำให้บริษัท ทุ่งคำ (“ทุ่งคำ”) ยื่นขอประทานบัตรเอาไว้ตั้งแต่ปี 2538 จำนวน 112 แปลง ประมาณ 33,600 ไร่ แบ่งเป็น
สัญญาว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิวภูขุมทอง ระหว่างกรมทรัพยากรธรณี กับบริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ และกับบริษัท ทุ่งคำ ทำให้บริษัท ทุ่งคำ (“ทุ่งคำ”) ยื่นขอประทานบัตรเอาไว้ตั้งแต่ปี 2538 จำนวน 112 แปลง ประมาณ 33,600 ไร่ แบ่งเป็น
1.ได้ประทานบัตรแล้ว 6 แปลง คือ ประทานบัตรที่ 26968/15574, 26969/15575, 26970/15576, 26971/15558, 26972/15559 และ 26973/15560 ที่ตั้งอยู่บนภูทับฟ้าภูซำป่าบอน ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย รวมเป็นพื้นที่ 1,291 ไร่ ถ้ารวมพื้นที่โรงแต่งแร่และถลุงแร่ และบ่อกักเก็บกากแร่ (บ่อไซยาไนด์) ประมาณ 1,500 ไร่
2.คำขอประทานบัตร จำนวน 106 แปลง ประมาณ 30,114 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ป่าไม้ประเภทต่างๆ และพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 เอ และ 1 บี
ซึ่งคำขอประทานบัตร แปลงที่ 104/2538 (แปลงภูเหล็ก) ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย และแปลงที่ 76/2539 ต.นาโป่ง อ.เมือง จ.เลย ที่ได้ดำเนินการจัดทำเวทีพับลิก สโคปปิง เพื่อจัดทำรายงาน EHIA ประกอบการขอประทานบัตรไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2555 และวันที่ 8 ก.ย. 2556 ที่ผ่านมา ตามลำดับ อยู่ในคำขอประทานบัตรกลุ่มนี้ด้วย
สัญญาขัดแย้งกับกฎหมายแร่ในกรณีพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม
มาตรา 6 ทวิ 1 และมาตรา 6 จัตวา 2 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 (“กฎหมายแร่”) มีข้อจำกัดเกี่ยวกับพื้นที่ที่เป็น “แหล่งต้นน้ำ” หรือ “ป่าน้ำซับซึม” แม้ปรากฏว่ามีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์ และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงก็ไม่สามารถประกาศให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อออกประทานบัตรชั่วคราว หรือประทานบัตรได้ จะต้องคำนึงถึงการเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามก่อนเป็นอันดับแรก
แต่สัญญาดังกล่าวกลับด้าน คือ ละเมิดหลักการของมาตรา 6 ทวิ และมาตรา 6 จัตวา ด้วยการนำพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมที่พบว่ามีแร่ทองคำมาให้สัมปทาน
ความเป็นนิรันดร์ของสัญญาเกิดจากการรวมแร่อื่นๆ เอาไว้ในสัญญาด้วย
สัญญาดังกล่าว ระบุข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่อื่นๆ ในพื้นที่ “เขตสิทธิ” 3 เอาไว้เป็นที่น่าตระหนกตกใจมาก ก็เพราะว่ารัฐราชการเปิดโอกาสให้ทุ่งคำถือสิทธิครอบครองสัมปทานแร่ทุกชนิด (ไม่เฉพาะแร่ทองคำ) ในเขตสิทธิ 545 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 340,605 ไร่ เต็มพื้นที่ต่อไปได้อีก หลังจากที่ยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ 112 แปลง ประมาณ 33,600 ไร่แล้วก็ตาม
ด้วยเนื้อหาที่ระบุไว้ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำเหมือง “แร่อื่นๆ” ในพื้นที่ที่ได้รับสิทธิ ตามข้อ 9 (2) ว่า “ในกรณีที่บริษัทสำรวจพบ ‘แร่อื่นๆ’ ในเขตสิทธิ และจะขอประทานบัตรทำเหมืองแร่นั้น ในการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ชนิดนั้น บริษัทจะต้องเสนอผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษแก่รัฐบาล นอกเหนือจาก (ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษผู้เขียน) ที่กำหนดไว้ในข้อ 3 แห่งสัญญานี้ ทั้งนี้ การออกประทานบัตรจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการในพระราชบัญญัติแร่และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากมีการขอเพิ่มชนิดแร่เพิ่มเติม ก็จะต้องเสนอผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษแก่รัฐสำหรับแร่ที่ขอเพิ่มนั้นด้วย”
ตามความเป็นจริง สิทธิในการครอบครองพื้นที่ที่เป็นเขตสิทธิจะต้องลดลงตามพื้นที่ที่ยื่นคำขอประทานบัตรเอาไว้ จำนวน 112 แปลง ประมาณ 33,600 ไร่ ดังที่ระบุเนื้อหาเอาไว้ในสัญญาข้อ 2 ข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้สิทธิสำรวจและทำเหมือง “แร่ทองคำ” ดังนี้
“ข้อ 2 (1) ภายใน 15 วันนับแต่วันทำสัญญานี้ บริษัทจะต้องยื่นคำขออาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจ ‘แร่ทองคำ’ ให้เต็มตามพื้นที่ที่ได้รับสิทธิสำรวจและทำเหมือง ‘แร่ทองคำ’ โดยอาชญาบัตรพิเศษจะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 2 ปี
“การให้สิทธิสำรวจ ‘แร่ทองคำ’ ตามสัญญานี้ ไม่ว่าจะเป็นการต่ออายุอาชญาบัตรพิเศษหรือเป็นการขออาชญาบัตรพิเศษใหม่ จะมีระยะเวลารวมกันไม่เกิน 5 ปี
“ข้อ 2 (2) เมื่อบริษัทได้ยื่นคำขออาชญาบัตรพิเศษเต็มตามพื้นที่ ตามข้อ 2 (1) แล้ว กรมจะดำเนินการเพื่อให้มีการออกอาชญาบัตรพิเศษทั้งหมดให้แก่บริษัทโดยเร็ว
“ข้อ 2 (3) หากบริษัทมีความเห็นว่า การสำรวจตามอาชญาบัตรพิเศษฉบับหนึ่งฉบับใดหรือหลายฉบับบ่งชี้ว่ามี ‘แร่ทองคำ’ เพียงพอที่จะลงทุนทำเหมืองได้ บริษัทจะต้องยื่นขอประทานบัตรหนึ่งหรือหลายฉบับสำหรับทำเหมือง ‘แร่ทองคำ’ ให้เสร็จสิ้นก่อนที่อาชญาบัตรพิเศษฉบับนั้นๆ จะสิ้นอายุ และบริษัทจะเร่งรัดกิจการอันจำเป็นทั้งหลายในการที่จะให้บริษัทได้รับประทานบัตรตามคำขอโดยเร็ว”
และปรากฏอยู่ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำเหมือง “แร่อื่นๆ” ในพื้นที่ที่ได้รับสิทธิ ตามข้อ 9 (1) ด้วยว่า “ในกรณีที่บริษัทได้รับประทานบัตรทำเหมือง ‘แร่ทองคำ’ แต่ปรากฏว่ามีแร่ชนิดอื่นรวมอยู่กับ ‘แร่ทองคำ’ ด้วย และบริษัทประสงค์จะผลิตแร่ชนิดอื่นนั้นด้วย บริษัทจะต้องเสนอผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษเพื่อประโยชน์แก่รัฐบาล ในการพิจารณาอนุญาตให้เพิ่มชนิดแร่แต่ละชนิดลงในประทานบัตรก่อนที่จะทำการผลิต นอกเหนือจาก (ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษผู้เขียน) ที่กำหนดไว้ในข้อ 3 แห่งสัญญานี้”
โดยสรุปก็คือ เงื่อนไขของสัญญาดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในข้อ 2 (1)(3) และข้อ 9 (1) มีความประสงค์ที่ชัดเจนที่จะจำกัดการทำแร่อื่นๆ ภายใต้คำขอประทานบัตร และประทานบัตรทำเหมือง “แร่ทองคำ” เท่านั้น ซึ่งก็คือพื้นที่คำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ 112 แปลง ประมาณ 33,600 ไร่ ที่ยื่นขอเอาไว้แล้วนั่นเอง ซึ่งหมายความต่อมาว่าพื้นที่ที่เป็นสิทธิครอบครองสัมปทานจะต้องลดลงตามพื้นที่คำขอประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำด้วย
แต่ข้อ 9 (2) กลับขยายหรือเปิดโอกาสให้ทุ่งคำถือสิทธิครอบครองเขตสิทธิ 545 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 340,605 ไร่ เต็มพื้นที่ดังเดิม
สัญญาดังกล่าวจึงมีลักษณะความเป็นนิรันดร์ เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าทุ่งคำจะขุดแร่อื่นๆ ในพื้นที่ 545 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 340,605 ไร่ หมดสิ้นลงในวันใด ตอกย้ำความวิปลาสของสัญญาดังกล่าว


