กระเรียนภูเขาไฟ
นกกระเรียนที่เข้าโครงการฟื้นฟูสายพันธุ์ขององค์การสวนสัตว์ได้รับการปล่อยลงไปในพื้นที่ชุ่มน้ำ
นกกระเรียนที่เข้าโครงการฟื้นฟูสายพันธุ์ขององค์การสวนสัตว์ได้รับการปล่อยลงไปในพื้นที่ชุ่มน้ำ 2 แห่งของบุรีรัมย์ คือที่อ่างเก็บน้ำสนามบิน และอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก
คุณอิสรียา ไทธานี ผู้ช่วยนักวิจัยที่รับบท “หญิงเดี่ยว” ขับรถตะลุยทุ่งเพื่อนับจำนวนนกกระเรียนทั้ง 2 แหล่ง สัปดาห์ละ 5 วัน ให้ข้อมูลว่า ทางโครงการเลือกเฟ้นแหล่งปล่อยนกอย่างประณีตสุดๆ จากตัวเลือกทั่วประเทศ จนมาลงเอยที่บุรีรัมย์
ทั้งนี้ทั้งนั้น ชัยภูมิกลับเป็นจังหวัดที่มีนกกระเรียนพ่วงอยู่ในเพลงประจำจังหวัด ที่ว่า “ซึ้งแล้วน้ำใจสาวชัยภูมิ” 555 ล้อเล่น
อาจเพราะนกกระเรียนเคยมีอยู่ที่ชัยภูมิในอดีต ทางกรมอุทยานฯ ที่เพาะนกของตัวได้เช่นเดียวกับองค์การสวนสัตว์ จึงปล่อยนกกระเรียนของตัวลงสู่ธรรมชาติของชัยภูมิในปีนี้ โดยเลือกพื้นที่ทุ่งกระมัง ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ เพื่อ “ล้างตา” อีกครั้ง หลังจากหลายปีก่อนเคยปล่อยไปฝูงหนึ่ง ก็โดนสัตว์นักล่าทุ่งกระมังสำเร็จโทษตายเรียบ
ความเห็นส่วนตัว ผมออกจะไม่แน่ใจว่าถิ่นอาศัยของนกกระเรียนมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าบนภูเขากลางป่าอย่างทุ่งกระมัง?
อย่างที่เคยข้ามแดนไปดูนกกระเรียนที่ฝั่งเขมร ก็เห็นว่านกกระเรียนเขมรหากินอยู่กลางทุ่งนาแบบที่บุรีรัมย์เป๊ะเลย ตำราไหนๆ ก็บอกว่ามันเป็น “นกท้องนา”
ยังจำบรรยากาศ “ทรมานบันเทิง” ได้ ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คนเขมรเข้าทุ่งนา แล่นไปตามทางลูกรังที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อมหาวิบากไกลร่วม 10 กิโลเมตร ถึงได้เห็นฝูงนกกระเรียนบินชะแว้บข้ามหัวไป
เห็นแค่นั้น ผมยังดีใจแทบบ้า ทั้งที่เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที แถมไม่ใช่นกเราอีกต่างหาก
หลังจากผมถ่ายรูปนกกระเรียนแห่งอ่างเก็บน้ำสนามบินได้แล้ว วันรุ่งขึ้นจึงเป็นคิวของนกกระเรียนแห่งอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก ผมไปที่นั่นแต่เช้าตรู่ด้วยการนำเข้าจุดของคุณอิสรียาเช่นเคย
ไฟต์บังคับของการถ่ายรูปนกกระเรียนห้วยจรเข้มาก ต้องถ่ายให้ติดฉากหลัง “เขากระโดง” ซึ่งเป็นภูเขาไฟเก่า และเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองบุรีรัมย์
ทีมงานฟื้นฟูนกกระเรียน ขนานนามภาพนกกระเรียนแบบนี้ว่า “กระเรียนภูเขาไฟ”


