ต้องช่วยกันแก้
ช็อก!!! กรณีบริษัท แสนสิริ ยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ออกมายอมรับความจริงว่า ผนังบางส่วนของโครงการ
ช็อก!!! กรณีบริษัท แสนสิริ ยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ออกมายอมรับความจริงว่า ผนังบางส่วนของโครงการ “เดอะ เบส สุขุมวิท 77” เป็น โฟม แทนที่จะเป็นคอนกรีตซีเมนต์เหมือนคอนโดมิเนียมทั่วไป
นอกจากนี้ อุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ ก็ไม่ควรด่วนสรุปว่า บริษัทได้ใช้เครื่องมือทดสอบแล้วพบว่ามีเพียงห้องเดียวที่เกิดปัญหาดังกล่าว พร้อมโยนปัญหาให้ผู้รับเหมา RTH ทำงานชุ่ย
RTH ที่แสนสิริหมายถึงนั้น ชื่อเต็มๆ ว่า บริษัท อาร์ทีเอช คอนสตรัคชั่น ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2544 ทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท มีพนักงานทั้งหมด 400 คน โดยธนาคารพาณิชย์ 4 แห่ง ให้การสนับสนุนทางการเงิน ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงศรีอยุธยา และยูโอบี
ปัจจุบันงานในมือของ RTH ล้วนเป็นโครงการของบริษัทขนาดใหญ่ นอกจากแสนสิริแล้ว บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือ TUF ก็ยังไว้วางใจว่าจ้างก่อสร้างโรงงานให้อีกด้วย
ปัญหานี้แดงขึ้นมาได้ ต้องขอบคุณ คุณ “คริสโตเฟอร์ จอร์จ เฮาส์ตัน” ลูกบ้านโครงการ เดอะ เบส สุขุมวิท 77 ซึ่งเมื่อพบปัญหารั่วซึมเมื่อฝนตกแล้วไม่นิ่งนอนใจ ไม่ได้ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของโครงการแก้ไขไปแบบตามมีตามเกิด แต่มีการค้นหาต้นตอของปัญหาแล้วต้องอึ้ง เมื่อพบว่าโครงสร้างผนังบางส่วนประกอบด้วย โฟม กระดาษ และเปลือกลูกอม
ปัญหาใหญ่ขนาดนี้ แสนสิริจะต้องรับผิดชอบเต็มๆ ไม่ควรโยนไปให้ผู้รับเหมาฯ และต้องจริงใจแก้ไขในฐานะเจ้าของโครงการซึ่งได้กำไรจากการขายห้องชุด
การทำจดหมายแจ้งลูกบ้านของโครงการนี้ว่าจะมีการตรวจสอบทุกห้อง คงไม่เพียงพอ บริษัทจะต้องตรวจห้องของทุกโครงการที่ RTH สร้างเสร็จแล้ว และกำลังจะเสร็จอีกหลายโครงการ
ส่วนบริษัทอสังหาฯ รายอื่นๆ ที่เคยว่าจ้าง RTH ก่อสร้าง ก็จะต้องตื่นตัวตรวจสอบด้วยเช่นกัน
หากแสนสิริมองว่าปัญหานี้เล็ก เพราะเกิดขึ้นเพียงห้องเดียว นับว่าเป็นอันตรายมากๆ และหากรับมือกับปัญหานี้ไม่ทันการณ์หรือไม่ดีพอ อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจคอนโดมิเนียมทั้งระบบ เปรียบเสมือนปลาเน่าตัวเดียวเหม็นหมดทั้งข้อง
และที่สำคัญ หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาตการก่อสร้างโครงการคอนโด ก็ไม่ควรดูแลแค่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคมรอบข้างเท่านั้น ควรเข้าไปสอดส่องดูแลเรื่องคุณภาพด้วย ซึ่งหากไม่มีอำนาจหน้าที่ ก็ควรจะหารือกับหน่วยงานอื่นช่วยกันจัดการกับปัญหานี้
หมดเวลาแล้วที่ปล่อยให้เจ้าของโครงการเอาเปรียบผู้บริโภค หรือปล่อยให้ผู้ซื้อต้องแบกรับความเสี่ยงเรื่องสินค้าที่ไร้คุณภาพแต่เพียงผู้เดียว


