posttoday

ระบบการค้าแบบDual Track

15 สิงหาคม 2556

ผมเคยพูดว่าคนไทยเป็นคนเก่ง สมองไวนั้น หมายถึงอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพียงแต่ท่านขาดความจริงใจในการช่วยชาติ ยกตัวอย่าง อดีตนายกฯ ทักษิณ ผมยอมรับในตัวท่าน ที่มีแนวคิด การทำประเทศไทย ให้ใช้ระบบการค้าแบบ Dual Track คือ เน้นทั้งการส่งออกและการค้าภายในประเทศ นั่นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

ผมเคยพูดว่าคนไทยเป็นคนเก่ง สมองไวนั้น หมายถึงอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพียงแต่ท่านขาดความจริงใจในการช่วยชาติ ยกตัวอย่าง อดีตนายกฯ ทักษิณ ผมยอมรับในตัวท่าน ที่มีแนวคิด การทำประเทศไทย ให้ใช้ระบบการค้าแบบ Dual Track คือ เน้นทั้งการส่งออกและการค้าภายในประเทศ นั่นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

ยกตัวอย่างเช่น ประเทศจีน คือ ตอนเปิดประเทศใหม่ๆ จะเน้นการผลิตเพื่อการส่งออกเกือบ 100% เพื่อสร้างงานและนำเงินตราเข้าประเทศ เมื่อประชาชนมีงานทำเกือบทุกคน ก็มีเงินจับจ่ายซื้อของ

นอกจากทำร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าแล้ว ยังไม่พอ เพราะประเทศจีนกว้างขวาง การกระจายสินค้าทำได้ยากลำบากมาก จึงต้องอาศัยกลไกของการสร้างตลาดค้าส่งสำหรับสินค้าเฉพาะอย่างขึ้นมา เรียกว่า Specific Wholesale Market เพื่อให้พ่อค้าจากต่างเมืองทั่วประเทศจีน สามารถเข้ามาซื้อสินค้าแล้วนำไปขายในเมืองของตนได้

กลไกตัวนี้เป็นตัวแปร หรือตัวกลางสำคัญที่ทำให้ Dual Track เกิดขึ้นได้โดยเร็วซึ่งไม่มีใครเคยพูดถึงหรือมองเห็น Dual Track ที่ดี และปลอดภัยที่สุดสำหรับประเทศ คือส่งออก 20% ของ GDP และค้าขายในประเทศเอง 80%

ปัจจุบันจีนสามารถทำได้แล้ว คือ ส่งออก 50% และค้าขายในประเทศ 50% อนาคตอีกไม่เกิน 10 ปี จีนทำได้แน่นอน ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องพึ่งพาการส่งออกหรือเศรษฐกิจโลก

ยกตัวอย่างในช่วง Hamburger World Crisis ที่ผ่านมา เศรษฐกิจฟองสบู่ของอเมริกาล่ม เพราะอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้เศรษฐกิจในอเมริกาตกต่ำ ยอดสั่งซื้อตกฮวบ ทำให้การส่งออกย่ำแย่

ประเทศจีนมองเห็นปัญหาดังกล่าว จึงรีบแก้ไข เพราะกลัวว่าโรงงานต้องปิด และคนตกงานจะออกมาสไตรก์ จึงออกนโยบายสนับสนุนคืนภาษีให้กับโรงงานที่ขายสินค้าอุปโภค เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์ให้กับชาวนาและชาวชนบทต่างเมือง ประมาณ 2030% ของราคาสินค้า และทำให้โรงงานมียอดขายในประเทศมากขึ้นเป็นประวัติการณ์

แต่ทุกนโยบายต้องมีกำหนดระยะเวลา ซึ่งในตอนนี้เศรษฐกิจดีขึ้น จีนก็เลิกสนับสนุนแล้ว

พูดถึงประเทศไทย ขณะนี้ยังทำไม่สำเร็จ คือ ยอดส่งออกนำเข้ายังมีประมาณ 80% ของ GDP ซึ่งกลับตาลปัตรกับประเทศจีน จึงทำให้ไทยยังต้องพึ่งพาการส่งออกอย่างมาก พอเศรษฐกิจโลกตก เราก็มีผลกระทบทันที (หมายเหตุ : ตัวเลข GDP จากยอดส่งออกนำเข้า และเงินลงทุนต่างๆ นั้น ยังเชื่อถือไม่ได้ เนื่องจากยอดส่งออกคิดจาก FOB ยอดนำเข้าคิดจาก CIF ซึ่งฐานต่างกัน และเงินลงทุนก็ไม่ใช่เงินลงทุนใน Real Sector จริงๆ ทั้งหมด) จึงไม่สามารถระบุตัวเลขได้ เพียงคิดคร่าวๆ เป็นเปอร์เซ็นต์ให้มองภาพออก

ฉะนั้น ประเทศไทยจะทำ Dual Tack ให้สำเร็จและมั่นคง สิ่งแรกที่ควรทำคือ ตั้งศูนย์ค้าส่งสินค้าเฉพาะอย่างคล้ายๆ กับตลาดไท (สำหรับผัก ผลไม้) ขึ้นมา แต่ควรเพิ่มอาหารอื่นๆ ด้วย เช่น อาหารกระป๋อง อาหารทะเล เป็นต้น และทำให้ใหญ่กว่านี้ เป็นที่ซื้อขายของคนทั้งประเทศ ไม่จำเป็นต้องอยู่กรุงเทพฯ อยู่เมืองไหนก็ได้ ที่มีเศรษฐกิจไม่ดี และไม่ควรเป็นเมืองท่องเที่ยวด้วย เพราะมีเศรษฐกิจดีแล้วเป็นทุนอยู่

นอกจากนี้ ยังควรทำ Cluster สัก 23 จังหวัด ให้เป็นกลุ่ม Trading Cluster หรือ Specific Wholesale Market Cluster พอทำแล้วเศรษฐกิจในจังหวัดนั้นก็จะดีไปด้วย เช่น ทำแบบศูนย์ค้าส่งให้ใหญ่กว่ามาบุญครอง 10 เท่า เป็นต้น

การทำ คลัสเตอร์ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเหมือนกับกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป ก็คือ คลัสเตอร์ โดยที่จริงแล้ว คลัสเตอร์ หมายถึง การรวบรวมเอาผู้ผลิต เส้นด้าย โรงย้อม สีย้อม โรงทอ ผู้ออกแบบ และโรงเย็บ มารวมกันเป็นกลุ่ม ถ้าจะให้ดีต้องมีผู้ซื้อ อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า พ่อค้าส่ง หรือผู้นำเข้าจากต่างประเทศมาร่วมด้วย ยิ่งสมบูรณ์มากขึ้น จนทำให้เกิดห่วงโซ่แห่งคุณค่า (Value Chain) เกิดขึ้น เราอาจเรียกคลัสเตอร์ นี้ว่า Garment Cluster หรือคลัสเตอร์เสื้อผ้าสำเร็จรูป

อีกนัยหนึ่ง การทำ คลัสเตอร์ อาจจะรวมเอาผู้ผลิต วัตถุดิบ ผู้ผลิตสินค้า ผู้ขายสินค้า และผู้ซื้อสินค้า ยกตัวอย่างเช่น การนำเอาฟาร์มโค กระบือ โรงฆ่าสัตว์ โรงฟอกหนัง โรงงานผลิตเครื่องหนัง รองเท้า หมวก กระเป๋า และเสื้อหนังมารวมกัน รวมทั้งผู้ออกแบบ ผู้ซื้อ ผู้ขายส่ง และห้างค้าปลีก รวมกันเป็น Leather Cluster หรือ คลัสเตอร์ เครื่องหนัง ขอบข่ายอาจจะแคบลงไปหากรวมกันยาก หรือวัตถุดิบบางอย่างอยู่ต่างประเทศ ก็ทำกลุ่มเล็กๆ ที่มีต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่อยู่ในจังหวัด หรือในประเทศก่อน เป็นห่วงโซ่อุปทานสั้นๆ ก็ได้

การทำ Fashion Cluster เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งไม่ใช่แค่เอาเครื่องหนังสำเร็จรูป เสื้อผ้าสำเร็จรูป และจิวเวลรีมารวมกันก็เป็นคลัสเตอร์ได้ เพราะนั่นเรียกว่าเป็น Category Cluster คือคล้ายๆ ร้านขายสินค้าเฉพาะอย่างเท่านั้นเอง ซึ่งไม่แน่เสมอไปที่ผู้ซื้อจะต้องเป็นคนคนเดียวหรือกลุ่มเดียวกัน จึงทำให้การรวมตัวนั้นดูดี แต่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ยกเว้นงานเดินแฟชั่นโชว์หรือการเปิดร้านค้าปลีกเท่านั้น เพราะไม่เกิดการรวมตัวในด้านวัตถุดิบหรือแม้กระทั่งการพูดคุยก็พูดกันคนละเรื่อง เพราะเสื้อผ้ามีวัตถุดิบหลากหลายประเภท กระเป๋า และจิวเวลรีก็เช่นกัน ทำให้ดู คลัสเตอร์ กว้างเกินไปจนจับต้นชนปลายหรือเริ่มต้นไม่ถูก

กลไกตัวนี้มีประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล ทั้งปัจจุบันและอนาคต ไม่ต้องไปเปิดบ่อนกาสิโน เมื่อมีตลาดค้าส่งแล้วก็จะเป็นเมืองใหม่ มีโรงแรม ร้านอาหาร และแหล่งบันเทิงตามมา แต่ต้องมีสาธารณูปโภครองรับ ซึ่งรัฐบาลต้องเป็นเจ้ามือ ต้องมีการเดินทางที่สะดวก อย่างรถไฟความเร็วสูงรองรับ ไม่ใช่มีแต่รถไฟสวนสนุก ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง!!

ประเทศจีนทำไม่กี่ปี รถไฟความเร็วสูง 250 กม./ชม. มาจ่อที่ลาวและทางเหนือแล้ว ของเรายังไม่ขยับทำอะไรเลย มีเครื่องบินก็ราคาแพง และเสียเวลา หรือรถทัวร์มรณะที่เสี่ยงต่อชีวิต ภาคการขนส่งสามารถใช้รถไฟ เรือ หรือรถบรรทุกได้จะดีที่สุด เป็นต้น

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ