พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี รักแรกในรัชกาลที่ 6
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี มีพระนามเดิมว่า ม.จ.วรรณวิมล วรวรรณ เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี มีพระนามเดิมว่า ม.จ.วรรณวิมล วรวรรณ เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมอินทร์ วรวรรณ ณ อยุธยา เป็นที่รู้จักในฐานะเป็นอดีตพระคู่หมั้นในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับการสถาปนาเป็น พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ประสูติเมื่อปี 2435 มีพระนามเรียกกันในหมู่พระญาติว่า ท่านหญิงเตอะ หรือท่านหญิงขาว
ด้วยเหตุที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถปราดเปรื่องในวิทยาการด้านวรรณศิลป์ ทรงมีความคิดกว้างไกลทันสมัย จึงทรงอบรมเลี้ยงดูโอรสธิดาให้ได้รับการศึกษาและมีวิถีชีวิตเยี่ยงคนสมัยใหม่ให้ทรงมีความคิดความอ่านอิสรเสรี มีความกว้างขวางและกล้าแสดงออก ไม่เข้มงวดกับการประพฤติปฏิบัติแบบจารีตประเพณีโบราณ
ม.จ.วรรณวิมล ทรงเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นครั้งแรกที่ห้องทรงไพ่บริดจ์ในงานประกวดภาพเขียน ณ โรงละครวังพญาไท ซึ่งนับเป็นงานชุมนุมของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งผู้ใหญ่และหนุ่มสาว ในงานนี้บรรดาท่านหญิงทั้งหลายของราชสกุลวรวรรณจึงเสด็จมาด้วยหลายพระองค์ ซึ่งในเรื่องนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเล่าเกี่ยวกับการพบกันครั้งแรกของทั้งสองพระองค์ในหนังสือ เกิดวังปารุสก์ ความตอนหนึ่งว่า
“...ข้าพเจ้าดูรูปในที่ต่างๆ คุยกับคนต่างๆ แต่มักจะไปนั่งบนพื้นคุยกับทูลหม่อมลุงเสมอบ่อยๆ ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าทูลว่า ‘ทูลหม่อมลุงครับ ที่ห้องทางโน้นเขาเล่นไพ่บริดจ์กัน’ ท่านทรงตอบว่า ‘อย่างงั้นหรือ ลุงต้องไปดู บางทีจะไปเล่นกับเขาบ้าง’ เมื่อท่านเสด็จไปเล่นจริงๆ ก็เลยไปพบท่านหญิงขาว...”
ในการพบกันครั้งนั้นทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวถูกพระราชหฤทัยในรูปโฉมและคุณสมบัติเฉพาะของ ม.จ.วรรณวิมล ยิ่งได้มีโอกาสสนทนากันก็พบว่ามีรสนิยมต้องกัน กล่าวคือ มีรสนิยมในงานศิลปะประเภทวรรณกรรมและการแสดง ทั้ง ม.จ.วรรณวิมล ยังทรงมีไหวพริบ คารมคมคาย และมีความคิดอ่าน ทำให้การสนทนามีรสชาติเป็นที่พอพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง
ในวันที่ 21 ต.ค. 2463 หลังจากที่ทรงพบปะกับ ม.จ.วรรณวิมล เพียงไม่กี่วัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ให้พระธิดาทั้งหลายของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ดังนี้
1.ม.จ.วรรณวิมล เป็น ม.จ.วัลลภาเทวี
2.ม.จ.วิมลวรรณ เป็น ม.จ.วรรณีศรีสมร
3.ม.จ.พิมลวรรณ เป็น ม.จ.นันทนามารศรี
4.ม.จ.วรรณพิมล เป็น ม.จ.ลักษมีลาวัณ
5.ม.จ.วัลลีวรินทร์ เป็น ม.จ.ศรีสอางค์นฤมล
ภายหลังจึงสถาปนา ม.จ.วัลลภาเทวี ขึ้นเป็น พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี พระคู่หมั้น เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2463 พร้อมพระราชทานตราปฐมจุลจอมเกล้า และมีพระบรมราชโองการ ขณะที่ได้รับสถาปนาเป็นพระคู่หมั้นนั้น พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมีพระชันษา 28 ชันษา ส่วนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุ 40 พรรษา และการสถาปนานี้ก็เพื่อจะได้สมพระเกียรติยศสำหรับจะได้กระทำพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในภายหน้า
ในช่วงของการหมั้นนั้น นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของทั้งสองพระองค์ เพราะมีพระทัยจดจ่อกันอยู่ตลอดเวลา โดยโปรดให้พระวรกัญญาปทานเสด็จมาประทับ ณ พระตำหนักสวนจิตรลดา ในขณะที่พระองค์เองทรงประทับอยู่ที่วังพญาไท ซึ่งอยู่ใกล้กัน โปรดเสด็จเสวยของว่างและโทรศัพท์คุยหากันเสมอๆ เรื่องนี้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ตรัสเล่าความว่า
“...ทูลหม่อมลุงเสด็จเสวยของว่างที่นั่นทุกวัน ข้าพเจ้าก็ไปเฝ้าท่านที่นั่น บางเวลาเมื่อข้าพเจ้านั่งเฝ้าท่านอยู่ที่วังพญาไทเวลาทรงพระอักษร ทูลหม่อมลุงก็ทรงคุยกับคู่หมั้นของท่านโดยโทรศัพท์สังเกตว่าโปรดมาก”
ในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ก็ต่างตื่นเต้นและยินดีกับพระคู่หมั้นทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เจ้าฟ้าด้วยกัน จึงได้มีการจัดเลี้ยงฉลองหมั้นที่เรียกว่า “สัปเปอร์เจ้าฟ้า” ซึ่งมีเพียงแต่เจ้าฟ้าเท่านั้นที่ประทับโต๊ะสัปเปอร์ แม้แต่ข้าราชการคนสนิทของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างพระยาประสิทธิ์ศุภการ และพระยาอนิรุทธเทวาก็ยังไม่มีโอกาสร่วมโต๊ะ
ระหว่างห้วงเวลาหลังการหมั้นหมายนั้นทรงพระราชนิพนธ์บทละครคำกลอน เรื่อง ศกุนตลา ซึ่งในหน้าแรกของพระราชนิพนธ์นั้น มีคำอุทิศว่า
นาฏกะกลอนนี้ฉันมีจิต ขออุทิศแด่มิ่งมารศรี
ผู้เป็นยอดเสน่หาจอมนารี วัลลภาเทวีคู่ชีวัน
ขอหล่อนจงรับไมตรีสมาน เป็นพยานความรักสมัครมั่น
เหมือนแหวนแทนรักทุษยันต์ แก่จอมขวัญศกุนตลาไซร้
แต่ผิดกันตัวฉันไม่ลืมหล่อน จนสาครเหือดแห้งไม่แรงไหล
จนตะวันเดือนดับลับโลกไป จะรักจอดยอดใจจนวันตาย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ทรงออกงานสังคมร่วมกันอยู่เสมอๆ ดังปรากฏเช่น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเล่าถึงงานใหญ่งานหนึ่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพร้อมพระวรกัญญาปทาน คืองานทำบุญครบรอบ 60 พรรษา สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ที่วังบูรพาภิรมย์ ดังความตอนหนึ่งว่า
“...งานทำบุญแซยิดทูลหม่อมปู่น้อยวังบูรพา เป็นงานใหญ่ครั้งแรกที่ทูลหม่อมลุงเสด็จกับพระองค์วัลลภาเทวี ทูลหม่อมลุงทรงทำแบบฝรั่งทุกประการ เช่นเวลาเสด็จขึ้นก็ทรงเอาฉลองพระองค์คลุม คลุมประทานพระองค์วัลลภาฯ”
พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ทรงร่วมแสดงละคร และงานพระราชพิธี ร่วมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งร่วมแสดงละครเรื่องศกุนตลาและโพงพาง
ด้วยความที่พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ทรงมีความคิดที่ล้ำสมัยสตรีไทยในยุคนั้น ทรงเขียนบทความชื่อ “ดำริหญิง” ในหนังสือดุสิตสมิธรายสัปดาห์เมื่อปี 2463 ในทำนองส่งเสริมให้สตรีมีความเท่าเทียมกับบุรุษ เพราะสตรีก็มีความสามารถ และจะอุ้มชูหรือชักบุรุษให้ต่ำลงก็ทำได้ แต่ก็มีพระประสงค์ให้บุรุษเข้าใจและเคารพสถานภาพของสตรี รู้จักหน้าที่ของบุรุษตามแบบสากล และขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้สตรีรู้จักทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ความว่า
“...หญิงโดยมากมักบูชาว่าชายเป็นมนุษย์ที่วิเศษกว่าตัวเทือกเทวดา ทั้งนี้ก็เพราะในบ้านโดยมากชายเป็นเจ้าบ้านมีอำนาจบังคับบัญชากดขี่หญิง การที่ชายได้อำนาจไปมากเช่นนั้น ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า คิดว่าคงเป็นเพราะหญิงมิได้ถือหน้าที่ที่ตนควรประพฤติ...”
แม้ในเนื้อความจะเป็นความจริงก็ตาม แต่ในขณะนั้นก็ยังไม่มีสตรีคนใดที่สามารถตีแผ่ความจริงได้อย่างห้าวหาญแจ่มชัดอย่างที่พระองค์ได้ทรงนิพนธ์ไว้ในบทความตอนหนึ่ง ความว่า
“...ความเข้าใจของข้าพเจ้าคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีความบกพร่องอยู่ในตัวอย่างที่ไม่รู้จักกันพอ เช่นหญิงชายแรกคบกันคงจะต้องสรรท่าที่ตัวคิดว่าดีออกอวดกัน ต่างคนก็บูชากันว่าเป็นผู้วิเศษในขณะนั้น ความพอใจย่อมมีต่อกันมาก ก็อาจให้สัญญาต่อกันทุกอย่างในความต้องการของฝ่ายใด ครั้นเมื่อคุ้นกันเข้า ความบกพร่องซึ่งเป็นของธรรมดาตามมากน้อยก็ต้องเกิดความรู้กันขึ้นทั้งสองฝ่าย ความนับถือซึ่งกันก็ย่อมซาไป...”
นอกจากนี้ในบทความของพระองค์ที่ทรงนิพนธ์ขึ้น แสดงให้เห็นถึงความมั่นพระทัยในบทบาทและความสามารถของสตรีในการผลักดันบุรุษให้ทำกิจการต่างๆ ความว่า
“...ข้าพเจ้าเห็นว่ามือเบาๆ ของหญิงนี่แหละ อาจลูบหลังชายให้ออกไปต้านศึกได้ง่ายๆ ยิ่งกว่าจะใช้ปืนจ้องให้ต้องกลับหลังหันไป”
พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ทรงเป็นผู้ริเริ่มการสวมเครื่องประดับคาดที่ศีรษะจนกลายเป็นที่นิยมของเหล่าสตรีในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
อย่างไรก็ตามบทความ ดำริหญิง ดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก กับทั้งยังมีพระวิสัยถือพระองค์บางประการ เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ และประพันธ์กลอนเชิงบริภาษว่า
อย่าทะนงอวดองค์ว่างามเลิศ สวยประเสริฐยากที่จะเปรียบได้
อย่าทะนงอวดองค์ว่าวิไล อันสุรางค์นางในยังมากมี
อย่าทะนงอวดองค์ว่าทรงศักดิ์ จะใฝ่รักแต่องค์พระทรงศรี
นั่งรถยนต์โอ่อ่าวางท่าที เป็นผู้ดีแต่ใจไพล่เป็นกา
อย่าดูถูกลูกผู้ชายที่เจียมตน อย่าดูถูกฝูงชนที่ต่ำกว่า
อย่าทะนงอวดองค์ว่าโสภา อันชายใดฤๅจะกล้ามาง้องอน
และแล้วก็มีพระบรมราชโองการให้ท้าวนางจ่าโขลนนำโซ่ตรวนทองคำไปจับกุมพระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมายังพระบรมมหาราชวัง แต่ด้วยทรงพระทิฐิมานะ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีจึงไม่ทรงทูลขอพระราชทานอภัย กับทั้งยังส่งหนังสือ “ศกุนตลา” ที่พระราชทานกลับคืนพร้อมกับบทกลอนประชดประชันอย่างไม่สะทกสะท้านหรือหวั่นเกรงพระราชอาญาแต่ประการใด เป็นเหตุให้ทรงถูกจำขังและลงโซ่ตรวนทองคำอยู่ในพระบรมมหาราชวังนับแต่นั้นมาจนตลอดรัชกาล
หลังจากที่ทรงถูกถอนหมั้นได้ 3 ปี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระบิดาได้แต่งบทประพันธ์ประทานพรพระธิดาความว่า
พ่อชรานาธิปให้ บุตรี รักพ่อ
วัลลภาเทวี ต่างหน้า
บูชิตเถิดประสิทธิ์ศรี สวัสดิอุ่น อุราแม่
ถึงอยู่ดินอยู่ฟ้า ไฝ่เกื้อ เกษมเสมอฯ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2468 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลต่อมา จึงมีพระบรมราชโองการให้ปลดปล่อยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีออกจากพระบรมมหาราชวัง และพระราชทานวังที่ประทับให้อยู่บริเวณสี่แยกพิชัย ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระบิดา ประทานชื่อว่า พระกรุณานิเวศน์ ขณะทรงได้รับการปล่อยออกมานั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี มีพระชนมายุ 33 พรรษา ทรงประทับอยู่ที่พระกรุณานิเวศน์ และสนพระทัยในพระพุทธศาสนาตลอดมา


