เหตุแห่งความ เกียจคร้าน
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ความแตกต่างระหว่างความเพียรกับความเกียจคร้านนั้น มักอยู่ที่วิธีคิด หาเหตุผลต่างๆ นานา ที่จะขยันหรือจะขี้เกียจ
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ความแตกต่างระหว่างความเพียรกับความเกียจคร้านนั้น มักอยู่ที่วิธีคิด หาเหตุผลต่างๆ นานา ที่จะขยันหรือจะขี้เกียจ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลภายนอก เช่น ภารกิจต่างๆ หรือเหตุผลจากภายใน เช่น ความเจ็บป่วย เหล่านี้เป็นเหตุที่สมควรหรือไม่ ในพระสูตรชื่อ “สังคีติสูตร” มีหมวดธรรม 8 สองประการที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ควรเป็นเหตุให้เราปรารภความเพียร หรือให้เกียจคร้าน นั่นคือ กุสีตวัตถุ 8 กับ อารัพภวัตถุ 8 ความสรุปย่อดังนี้
กุสีตวัตถุ 8 หมายถึง ที่พึ่งของคนเกียจคร้าน หรือเหตุของความเกียจคร้าน มีอยู่ 8 ประการ
1) การมีความคิดว่า เราจักต้องทำงาน เมื่อเราทำการงานอยู่ ร่างกายจักเหน็ดเหนื่อย ควรที่เราจะนอน แล้วก็นอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
2) การมีความคิดว่า เราได้ทำการงานแล้ว เมื่อเราทำการงานแล้ว ร่างกายเหน็ดเหนื่อยแล้ว ควรที่เราจะนอน แล้วก็นอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
3) การมีความคิดว่า เราจะต้องเดินทาง ก็เมื่อเราเดินทางไปอยู่ ร่างกายจักเหน็ดเหนื่อย ควรที่เราจะนอน แล้วก็นอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
4.) การมีความคิดว่า เราเดินทางถึงแล้ว ก็เมื่อเราเดินทางอยู่ ร่างกายเหน็ดเหนื่อย ควรที่เราจะนอน แล้วก็นอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
5) การมีความคิดว่า เราเที่ยวบิณฑบาตไป ไม่ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะที่เศร้าหมองหรือประณีตเพียงพอแก่ความต้องการ ร่างกายของเราเหน็ดเหนื่อย ไม่ควรแก่การงาน ควรที่เราจะนอน แล้วก็นอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
6) การมีความคิดว่า เราเที่ยวบิณฑบาตไป ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะที่เศร้าหมองหรือประณีตเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว ร่างกายของเราเหน็ดเหนื่อย ไม่ควรแก่การงาน เหมือนถั่วราชมาสที่ชุ่มน้ำ (หมายถึงเป็นผู้หนักเหมือนถั่วเหลืองที่เปียกชุ่ม) แล้วก็นอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
7) เมื่อมีอาพาธเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้น ก็มีความคิดว่า สมควรที่เราจะนอน แล้วก็นอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
8) เมื่อหายจากความเป็นไข้ได้ไม่นาน ก็มีความคิดว่า ร่างกายของเรายังทุรพล ยังไม่ควรแก่การงาน ควรที่เราจะนอน แล้วก็นอนเสีย ไม่ปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
อารัพภวัตถุ 8 หมายถึง เหตุแห่งความเพียร มีอยู่ 8 ประการ
1) การมีความคิดว่า เราจักต้องทำงาน เมื่อเราทำการงานอยู่ เราไม่สะดวกที่จะมนสิการคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ เราจะปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
2) การมีความคิดว่า เราได้ทำการงานสำเร็จแล้ว ก็เมื่อเราทำการงานอยู่ ไม่สามารถเพื่อมนสิการคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ควรที่เราจะปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
3) การมีความคิดว่า เราจะต้องเดินทาง ก็เมื่อเราเดินทางไปอยู่ ไม่สะดวกที่จะมนสิการคำสอนของพระพุทธเจ้า ควรที่เราจะปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
4) การมีความคิดว่า เราเดินทางไปถึงแล้ว ก็เมื่อเราเดินทางอยู่ ไม่สามารถเพื่อมนสิการคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ควรที่เราปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
5) การมีความคิดว่า เราเที่ยวบิณฑบาตไป ไม่ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะที่เศร้าหมองหรือประณีตเพียงพอแก่ความต้องการ ร่างกายของเราเบา ควรแก่การงาน ควรที่เราจะปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
6) การมีความคิดว่า เราเที่ยวบิณฑบาตไป ได้ความบริบูรณ์แห่งโภชนะที่เศร้าหมองหรือประณีตเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว ร่างกายของเรานั้นมีกำลัง ควรแก่การงาน ควรที่เราจะปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
7) เมื่อมีอาพาธเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้น ก็มีความคิดว่า อาพาธเล็กน้อยเกิดแก่เราแล้ว การที่อาพาธของเราจะพึงเจริญขึ้นนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้ ควรที่เราจะปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
8) เมื่อหายจากความเป็นไข้ได้ไม่นาน ก็มีความคิดว่า เราหายจากไข้แล้ว หายจากไข้ไม่นาน การที่อาพาธของเราจะพึงกำเริบนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้ ควรที่เราจะปรารภความเพียร เพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึงยังไม่บรรลุ ยังไม่ทำให้แจ้ง
เมื่อพิจารณาดูแล้ว สถานการณ์เดียวกัน เราจะเพียรทำดี หรือปล่อยให้ความง่วงความเกียจคร้าน หรือกิเลสต่างๆ เข้าครอบงำ ก็ขึ้นอยู่ที่จิตใจของเรานั่นเองว่าเราจะคิดอย่างไร เมื่อคิดดี ก็ทำดีได้... แต่ถ้าคิดดีไม่ได้ ก็จะทำแต่ที่ไม่ดี...


