posttoday

อุทธรณ์ยกฟ้องเก่ง การุณหมิ่นสมเกียรติ

19 กรกฎาคม 2556

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้อง เก่ง การุณ หมิ่น สมเกียรติ กรณีวิวาทกลางสภาเมื่อปี 51

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้อง เก่ง การุณ หมิ่น สมเกียรติ กรณีวิวาทกลางสภาเมื่อปี 51

ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.1462/2551 ที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายการุณ หรือเก่ง โหสกุล อดีต สส.ดอนเมือง พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328

โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 51 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 51 จำเลยได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ด้วยการใช้เท้าถีบท้องน้อยโจทก์อย่างแรง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ที่รัฐสภา ต่อมาวันที่ 3 เม.ย.51 จำเลยได้ให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาทโจทก์ ทางสถานีวิทยุ คลื่นเอฟ เอ็ม ความถี่ 90.5 เมกกะเฮิร์ท และรายการสยามเช้านี้ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ทำนองว่า โจทก์ปลุกระดมฆ่า แต่จำเลยเป็นเพชรที่ต้องเข้ามาทำงานเพื่อประชาชน ส่วนโจทก์มาจากพวกจ้องล้มล้างระบอบประชาธิปไตย มาจากการปฏิวัติ รัฐประหาร และข้อความอื่นซึ่งล้วนเป็นความเท็จ ซึ่งโจทก์ในฐานะที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเป็นอาจารย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักนับหน้าถือตาของคนในสังคมต้องเสื่อมเสีย ชื่อเสียง

ศาลอุทธรณ์ประชุมหารือตรวจสำนวนแล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์ เป็นเบิกความพร้อมนำแผ่นบันทึกเสียงที่มีการถอดถ้อยคำของจำเลยที่กล่าวผ่านรายการวิทยุและโทรทัศน์ โดยระบุว่ามีการกล่าวหาโจทก์ใช้วาจาหยาบคาย และโจทก์ปราศรัยปลุกปั่นผู้ชุมนุมทางการเมือง รวมทั้งโจทก์ได้เป็น สส.สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จากการปฏิวัติรัฐประหารล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ขณะที่พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันในเรื่องที่จำเลยกล่าวถึงโจทก์ในการปราศรัยปลุกปั่นชุมนุมทางการเมืองว่า จำเลยใส่ความโจทก์ปลุกปั่นระดมฆ่า แต่จากบันทึกถ้อยคำที่ได้จากแผ่นบันทึกเสียงระบุว่า โจทก์เป็นพวกปลุกปั่นระดมชาติ พยานที่นำสืบมาในประเด็นนี้จึงขัดแย้งกัน ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกล่าวใส่ความโจทก์ว่าเป็นพวกปลุกปั่นระดมฆ่าตามฟ้อง

ส่วนประเด็นอื่น เห็นว่า เป็นปกติที่นักการเมืองยังติชมเพื่อต้องการสร้างความนิยมจากประชาชนที่มีต่อตนเองให้เพิ่มมากขึ้น และต้องการให้ความนิยมของประชาชนที่มีต่อฝ่ายตรงข้ามลดน้อยลง โดยการกล่าวโจมตีทางการเมืองมีความน่าเชื่อถือให้คล้อยตามได้น้อย คำกล่าวของนักการเมืองต่อนักการเมืองจึงมีความน่าเชื่อถือแตกต่างจากคำกล่าวโดยทั่วไปที่ไม่ใช่มุ่งโจมตีกัน ขณะที่การเป็นนักการเมืองซึ่งเป็นบุคคลที่ทำงานเพื่อสาธารณะก็ต้องยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มที่ โดยคำกล่าวของจำเลยว่าโจทก์เป็น สส. เพราะได้รับรางวัลจากการปฏิวัติรัฐประหารนั้น ดูไม่สมเหตุสมผลที่ประชาชนบุคคลทั่วไปจะเชื่อถือได้ ที่จำเลยอุทธรณ์มาฟังขึ้น ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

คดีนี้ ศาลชั้นต้น เห็นว่าจำเลยมิได้ติชมด้วยความบริสุทธิ์ใจ จึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 12 เดือน และปรับ 40,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี

ทั้งนี้ วันนี้นายการุณ ได้เดินทางมารับฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ด้วยตัวเอง และภายหลังศาลยกฟ้องได้เดินทางกลับในทันที โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ

ข่าวล่าสุด

พรรคประชากรไทย ชู 4 เสาหลักพลิกฟื้นประเทศ ส่งชิงเก้าอี้ สส.261 คน สู้ศึกเลือกตั้ง‘69