posttoday

เงินธรรม เงินวัด และธรรมภิบาล

08 กรกฎาคม 2556

ในช่วงที่ผ่านมามีข่าวของพระสงฆ์กับเรื่องการใช้จ่ายเงินที่ดูเหมือนจะไม่เหมาะสม และผิดไปจากวัตถุประสงค์ของพุทธศาสนิกชนในการทำบุญ เพื่อการทำนุบำรุงวัดและพุทธศาสนาเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินของวัดว่ามีรูปแบบในการบริหารจัดการอย่างไร

ในช่วงที่ผ่านมามีข่าวของพระสงฆ์กับเรื่องการใช้จ่ายเงินที่ดูเหมือนจะไม่เหมาะสม และผิดไปจากวัตถุประสงค์ของพุทธศาสนิกชนในการทำบุญ เพื่อการทำนุบำรุงวัดและพุทธศาสนาเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินของวัดว่ามีรูปแบบในการบริหารจัดการอย่างไร

ผู้เขียนได้ทำวิจัยเรื่อง “การบริหารการเงินวัดไทย : ความสอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาล” โดยผลการศึกษาได้สะท้อนให้เห็นว่า การบริหารการเงินของวัดไทยตามรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับการบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาลเท่าใดนัก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปัญหาทางการจัดการทางการเงินของวัดสะท้อนออกมาให้เห็นอยู่เป็นระยะ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจสถานะของวัดไทยในพระพุทธศาสนา ถือว่ามีฐานะเป็น “นิติบุคคล” มีสิทธิและหน้าที่ต่างๆ และมีโครงสร้างการปกครองตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ตามลำดับการบังคับบัญชาที่ชัดเจน โดยมีเจ้าอาวาสเป็นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งมีหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ให้เป็นผู้บริหารจัดการภายในวัด

นอกจากนั้น ยังมีกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) มีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการของวัด ได้แก่

(1) การได้ทรัพย์สินมาเป็นศาสนสมบัติ

(2) การกันที่ดินซึ่งเป็นที่วัดให้เป็นที่จัดประโยชน์

(3) การให้เช่าที่ดินหรืออาคาร

(4) การให้เช่าที่ธรณีสงฆ์ ที่กัลปนา หรือที่ดินที่วัดกันไว้เป็นประโยชน์

(5) การเก็บรักษาเงินของวัด

(6) ให้เจ้าอาวาสจัดให้ไวยาวัจกร หรือผู้จัดประโยชน์ของวัด ซึ่งเจ้าอาวาสแต่งตั้งทำบัญชีรับจ่ายเงินของวัด

(7) กรณีที่วัด เจ้าอาวาส ไวยาวัจกร หรือผู้จัดประโยชน์วัดถูกฟ้อง หรือถูกหมายเรียกเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด

(8) ให้กรมการศาสนากำหนดแบบทะเบียนบัญชี แบบสัญญาเกี่ยวกับการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด

เมื่อพิจารณาความสำคัญทางเศรษฐกิจ วัดเป็นองค์กรทางศาสนาที่ถือเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มิใช่ระบบตลาด หรือตามระบบบัญชีประชาชาติ ค.ศ. 1993 เรียกว่า สถาบันไม่แสวงหากำไรให้บริการครัวเรือน (NonProfit Institution Serving Households : NPISHs) หมายถึง องค์กรที่ดำเนินงานโดยไม่หวังผลกำไร โดยผลิตสินค้าและบริการให้กับประชาชนหรือสังคมโดยไม่คิดราคาหรือแบบให้เปล่า หรือจำหน่ายในราคาที่ไม่คุ้มทุน หรือในราคาที่ไม่มีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจ ในที่นี้ครอบคลุมองค์กรประเภทมูลนิธิ สมาคม องค์กรทางศาสนา และพรรคการเมือง เป็นต้น

การดำรงอยู่ของวัดเกิดขึ้นจากการที่พุทธศาสนิกชน ชุมชน และสังคมมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงวัดด้วยการบริจาคทั้งในรูปที่เป็นเงิน สิ่งของ และเวลาในการทำงานอาสาต่างๆ ร่วมกับวัด

ดังนั้น การที่วัดเป็นนิติบุคคลประเภทองค์การไม่แสวงหากำไรที่ดำรงอยู่ด้วยความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน วัดจึงต้องมีการบริหารจัดการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของหลักธรรมาภิบาลที่ยึดเป็นหลักในการบริหารจัดการที่ดีขององค์การทุกประเภท

การศึกษาพบว่า กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันในการปกครองวัดที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ทันสมัยพอที่จะทำให้วัดมีการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลได้ ปัญหาประการหนึ่ง คือ ขาดการกำหนดโครงสร้างการบริหารวัดอย่างเป็นระบบ และขาดการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมจากประชาชนและชุมชนในการบริหารวัด แม้ว่าในการบริหารของวัดส่วนมากจะมีไวยาวัจกร และ/หรือคณะกรรมการวัดเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสในการบริหารจัดการวัดด้านต่างๆ

แต่ทั้งนี้การบริหารทางด้านการเงิน คณะกรรมการวัดและไวยาวัจกรอาจจะมีบทบาทไม่มากนัก หรือไม่มีการกำหนดหน้าที่ไว้อย่างชัดเจน เนื่องจากไม่มีกฎหมายหรือกฎระเบียบข้อบังคับที่กำหนดให้มีคณะกรรมการวัดและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการวัดไว้อย่างชัดเจน แต่มีเพียงกฎหมายระบุถึงการให้มีการแต่งตั้งไวยาวัจกรเพื่อเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส และให้เจ้าอาวาสมีอำนาจตามกฎหมายในการบริหารจัดการภายในวัดเท่านั้น

การไม่มีการรายงานและตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของวัดเป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง แม้ว่าจะมีกฎระเบียบที่กำหนดให้วัดจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย และผลการสำรวจวัดในประเทศไทยพบว่า มีวัดจำนวนมากที่ระบุว่า วัดมีการบันทึกรายรับรายจ่ายทุกวัน แต่ไม่มีข้อมูลที่จะชี้ว่าวัดได้มีการจัดทำรายงานทางการเงิน และมีการตรวจสอบรายงานทางการเงินของวัดอย่างเป็นระบบ และไม่มีการรวบรวมรายงานทางการเงินของวัดจากหน่วยงานของรัฐที่มีบทบาทในการดูแลวัด เห็นได้จากการวัดผลการดำเนินงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ระบุตัวชี้วัดว่า “จำนวนวัดที่ได้มีการรายงานทางการเงินตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกำหนด” มีข้อมูลรายงานว่า ในปี 2552 มีเพียง 1,321 วัด ที่มีการจัดทำรายงานทางการเงินตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกำหนด (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 จำนวนวัดรวม 35,271 วัด) ซึ่งอาจเป็นปัญหาของการบังคับใช้กฎระเบียบข้อบังคับให้สามารถรวบรวมข้อมูลรายงานทางการเงินของวัดได้

นอกจากนั้น องค์ประกอบสำคัญของหลักธรรมาภิบาล คือ ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ผลการสำรวจระบุว่ามีวัดเพียงบางส่วนที่มีการเปิดเผยข้อมูลรายงานทางการเงิน โดยระบุวิธีการเปิดเผยจะเป็นการติดประกาศในที่สาธารณะเป็นหลัก และมีการดำเนินการโดยวิธีการอื่นๆ เช่น เสียงตามสาย การจัดทำเอกสารแจก การแจ้งที่ประชุมกรรมการวัด เป็นต้น มีจำนวนเพียงเล็กน้อยที่ระบุว่ามีการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการเผยแพร่ข้อมูลทางการเงินของวัดให้สาธารณะรับทราบยังอยู่ในวงจำกัด และขาดการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบโดยหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลการบริหารการเงินของวัด

ผลการสำรวจรายรับและรายจ่ายของวัดพบว่า ภาพรวมประมาณการเงินหมุนเวียนรายรับและรายจ่ายของระบบวัดในประเทศไทยอยู่ประมาณ 80,000100,000 ล้านบาทต่อปี

แต่ทั้งนี้ตัวเลขเงินหมุนเวียนในระบบวัดประมาณการได้ยาก เนื่องจากไม่มีการรวบรวมข้อมูลรายงานทางการเงินของวัดอย่างเป็นทางการ ตัวเลขจากการสำรวจมีความคลาดเคลื่อนสูง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นข้อมูลที่ควรมีการเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบ และหากข้อมูลเงินหมุนเวียนมีมากในระดับนั้น ในขณะที่การจัดทำบัญชีและตรวจสอบยังไม่เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพนัก สะท้อนถึงความไม่เข้มแข็งในระบบการบริหารการเงินของวัดอย่างชัดเจน

ข้อเสนอสำหรับการพัฒนาระบบการบริหารการเงินของวัดที่จำเป็น

ประการแรก ต้องจัดให้มีระเบียบ ข้อบังคับ ข้อปฏิบัติที่ชัดเจนและเป็นเอกภาพ โดยกำหนดเป็นกฎหมายหรือเป็นคำสั่งทางปกครองของสงฆ์ให้วัดมีการจัดทำรายงานทางการเงินที่เป็นระบบ และมีการตรวจสอบทางบัญชีที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งข้อจำกัดสำคัญ คือ ความรู้ความสามารถของเจ้าอาวาสและไวยาวัจกรต้องได้รับการพัฒนา และเปิดโอกาสให้ผู้มีความรู้ความสามารถได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการวัดให้มากขึ้น

ประการที่สอง การบริหารวัดในรูปของคณะกรรมการบริหารกิจการของวัด ควรกำหนดกฎระเบียบข้อบังคับไว้อย่างเป็นรูปธรรม และต้องมีการกำหนดวิธีการได้มาและคุณสมบัติของผู้ที่สามารถเป็นกรรมการวัดและไวยาวัจกรไว้อย่างชัดเจน โดยเน้นหลักการมีส่วนร่วมจากชุมชนในการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการวัดในรูปของคณะกรรมการ ซึ่งในระยะยาวควรมีการพัฒนาระบบการเงินของวัด โดยอาจใช้รูปแบบการบริหารจัดการทางด้านการเงินในลักษณะองค์การไม่แสวงหากำไร เช่น มูลนิธิ ฯลฯ เพื่อให้มีการบริหารจัดการที่เป็นระบบเพิ่มมากขึ้น

ประการที่สาม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมข้อมูลทางด้านการเงินของวัด และกำหนดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลรายงานทางการเงินของวัดอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย โดยเน้นหลักความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ตามหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ

หน้าที่ของการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นของพุทธบริษัทสี่ ในฐานะของอุบาสก อุบาสิกา พุทธศาสนิกชนต้องทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาและทำงานให้แก่วัดเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝัง เพื่อให้การบริหารวัดมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น ซึ่งหากระบบเปิดโอกาสให้การเข้าไปมีส่วนร่วมทำได้ ย่อมจะลดความเสี่ยงของความปฏิบัติมิชอบอันเป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมลงได้

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ