เจ้าจอมก๊กออในราชกาลที่ 5 (3)
ธิดาคนที่ 2 ในจำนวน 5 คนของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ และท่านผู้หญิงอู่ ที่ถวายตัวเป็นข้าราชการสำนักฝ่ายใน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ คุณจอมเอี่ยม หรือเจ้าจอมเอี่ยม บุนนาค เกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา เบญจศก จ.ศ. 1235 ตรงกับวันที่ 12 พ.ค. 2416
ธิดาคนที่ 2 ในจำนวน 5 คนของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ และท่านผู้หญิงอู่ ที่ถวายตัวเป็นข้าราชการสำนักฝ่ายใน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ คุณจอมเอี่ยม หรือเจ้าจอมเอี่ยม บุนนาค เกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา เบญจศก จ.ศ. 1235 ตรงกับวันที่ 12 พ.ค. 2416
เจ้าจอมเอี่ยมเข้าถวายตัวข้าราชการฝ่ายในเมื่อปี 2426 เมื่ออายุได้ 13 ปี เป็นผู้มีฝืมือในการทำอาหาร มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยทำเครื่องเสวยของพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติพิเศษคือมีฝีมือในการนวด ได้ทำหน้าที่ถวายงานนวดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเวลาเข้าที่พระบรรทม เพราะเป็นที่ประจักษ์ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ที่ทรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย ทรงทำงานอย่างหนักเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชน ตลอดรัชสมัยของพระองค์ ต้องทรงเผชิญปัญหาการรุกรานของประเทศมหาอำนาจตะวันตกอย่างหนักหน่วง ทำให้พระองค์ต้องทรงคิดหาหนทางแก้ปัญหา เพื่อป้องกันประเทศทุกวิถีทาง โดยไม่ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยากเป็นเหตุให้ทรงมีปัญหาสุขภาพพลานามัยอยู่เสมอเช่นกัน พระองค์ทรงมีพระโรคประจำพระองค์คือ พระอาการปวดเมื่อยพระวรกาย เจ้าจอมเอี่ยมจึงเป็นผู้นวดที่สมพระราชหฤทัย ดังปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับปัญหาของผู้นวด เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ดังพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งที่พระราชทานมายัง สมเด็จหญิงน้อย เจ้าฟ้านิภานภดล ความว่า
“...ขึ้นชื่อว่าผู้ชายทุกวันนี้แรงน้อย จะนวดแต่ละทีเหมือนยกเขาพระสุเมรุ น้อยใจว่าได้ความทุกข์ยากเสียจริงๆ ตื่นขึ้นแข็งไปทั้งข้างเหมือนจะเป็นปัตคาด ได้เอาตาหมอมาสอนเส้นได้กรมสมมติเป็นโมเดลไม่รู้จักว่า เส้นมนุษย์มันไม่พ้นตัวเหมือนเถาวัลย์เลื้อย
จึงเห็นได้ว่าการนวดไม่ถูกวิธี นอกจะไม่ทำให้หายปวดเมื่อยแล้วยังทำให้เกิดอาการขัดเคล็ดทำให้บรรทมไม่หลับได้ทรงเล่าว่า...ที่ไม่หลับนั้นเพราะนวดไม่ถูก แลพูดอะไรไม่มีใครได้ยิน ได้ยินแล้วทำอะไรไม่ถูกฤๅไม่มีคนเสียทีเดียว แต่เคราะห์มีที่ได้ไอ้ฟ้อนเป็นคนจริตน้อยเคยได้ยากตรากตรำไม่ค่อยจะอ้อนแอ้น แลเพราะหนาวนอนอยู่แล้วด้วย พอประทับขาเข้าแน่นไม่คลอนๆ แคลนๆ ร้อนได้สองสามวานก็ง่วง...”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอึดอัดพระราชหฤทัยที่ไม่มีใครสามารถถวายงานนวดได้ถูกพระทัยทรงมีพระราชปรารภว่า “...เป็นอันรวมความว่า หัดทหารง่ายกว่าหัดให้คนนวดมันจำแห่งไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่ขี้เกียจ...”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปรียบเทียบงานนวดของผู้ชาย ที่นวดถวายระหว่างเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ไว้ว่า “...นวดมันไม่ได้ดีเป็นปัญหาที่ได้ถามกันใบโต๊ะว่า บรรดาสัตว์โลกอะไรมีกำลังมาก ตอบกันว่ามดตามแบบ ถามต่อไปว่าอะไรมีกำลังน้อย ตอบกันว่าช้างพ่อว่าไม่ใช่บุรุษที่เป็นหมอนวด เฉพาะแต่ผู้ชายมันช่างเป็นพ่อสนิมสร้อย ทุกๆ คนหาแรงสักครึ่งผู้หญิงไม่ได้อะไรก็สบาย ร้ายแต่นวดได้ความเดือดร้อนเป็นล้นพ้น...”
การที่ทรงเปรียบเทียบว่าผู้ชาย หาแรงสักครึ่งผู้หญิงไม่ได้นั้น เพราะพระองค์ทรงนึกถึงฝีมือการนวดของคุณจอมเอี่ยม ด้วยฝีมือการนวดของคุณจอมเอี่ยมนั้นเป็นเลิศ รู้วิธีการนวดอย่างถูกต้อง รู้จังหวะที่จะกดหรือนวดอย่างพอเหมาะอีกทั้งยังมีแรงมาก จึงได้ถวายงานนวดอย่างถูกวิธี ทำให้ทรงผ่อนคลายจากอาการปวดเมื่อย บรรเทาพระอาการเคร่งเครียดได้เป็นอย่างดีเป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก ถึงกับมีพระราชปรารภมายังสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพถึงพระราชประสงค์ที่จะให้ส่งคุณจอมเอี่ยมตามเสด็จไปยุโรป เพื่อถวายงานนวดโดยเฉพาะความว่า
“...ในเวลามานี้ ความสุขทุกข์ในส่วนตัวว่าโดยย่อวันแรกดีมาก ต่อมาดูลงรูปกันเมื่ออยู่บางกอกเวลาสบาย ได้ความเดือดร้อนแต่เวลานอน ตาสัมพาหะ แกหัดอ้ายลมให้นวดงอก่อเหมือนแก ดูอาการราวกับจะยกเขาสุเมรุ เหน็ดเหนื่อยนี่กระไร แต่เราวางมือไม่ได้ต้องเป็นครูหมอนวด หลับช้าทุกวันๆ นี้ ออกจะเป็นปัตคาด คิดถึงนางเอี่ยมกับนางเหมเต็มที เรี่ยวแรงถ้าจะเทียนเท่าผู้ชายชนิดนี้ 8 คนเท่าแรงหมอนวดแท้ 16 คน การมันประหลาดเช่นนี้จะเชื่อว่าผู้หญิงแรงกว่าผู้ชาย ฤ ไม่ก็ตามแต่จะเห็น...”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปรารภต่อไปอีกว่า
“...จะไม่ใคร่สนุกมาคราวนี้ เพราะฉันนอนไม่หลับเต็มที่การปฏิบัติไม่ถึงใจกล่าวคือนวดไม่ได้เลย แลขี้เกียจนอนเป็นกำลัง มหาดเล็กพูดอะไรก็ไม่เข้าใจเรียกเอาอะไรไม่ได้ จนลงเสี่ยงทายเมื่อคืนนี้ว่า ถ้านอนไม่หลับก็ต้องทนเสียเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือโทรเลขเข้าไปให้ส่งนางเอี่ยมออกมา ให้เขาลือว่าเป็นบ้ากาม ฤๅเสด็จกลับเข้าไปบางกอกให้เขาลือว่าจวนตายแล้ว ดีกว่าไปตายจริงๆ เดือดร้อนเต็มทีไม่มีความสุขเลย ถ้ากลับมามีเมียแหม่มเข้ามาด้วย อย่าได้เข้าใจว่าไปเกิดคิดเคลิ้มคลั่งขึ้นทั้งแก่ ขอให้เข้าใจว่าเป็นเนิสอย่างมิสเตอร์สโตเบล...”
นอกจากจะทรงมีพระราชปรารภถึงฝีมือการนวดของคุณจอมเอี่ยมกับผู้คนต่างๆ แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังได้พระราชทานพระราชหัตถเลขาอันบ่งบอกถึงความระลึกถึงและทรงชื่นชมถึงความสามารถอันเป็นเยี่ยมในเชิงการนวดของคุณจอมเอี่ยม ส่งตรงมาถึงคุณจอมเอี่ยมโดยเฉพาะด้วย ยังความปลาบปลื้มและภาคภูมิใจมาสู่คุณจอมเอี่ยมเป็นที่สุด ดังพระหัตถเลขาที่สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารี พระอรรคราชเทวี ทรงมีไปถึงสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ พระราชโอรสว่า “...แม่ได้ยินเขาโจทย์กันถึงพระราชโทรเลขถึงกรมดำรงว่า ไม่ทรงสบายแลกริ้วมหาดเล็กมีความวิตกอยู่เป็นอันมาก ไหนจะวิตกเกรงพระอาการอื่นจะกำเริบ ไหนจะกลัวลูกถูกกริ้วด้วย แต่เมื่อทราบตามหนังสือของลูกก็คลายวิตกไปส่วนหนึ่ง แม่เอี่ยมเขาได้รับพระราชหัตถเลขาก็ทรงพรรณนาคุณความดีในการนวดอยู่ข้างเหวมาก บอกว่าครั้งนี้ตัวได้ชื่อเสียงที่สุด...”
คุณจอมเอี่ยม หรือเจ้าจอมเอี่ยม บุนนาค ได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างใกล้ชิดด้วยความขยันหมั่นเพียรและซื่อสัตย์จงรักภักดี เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความวิตกห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของคุณจอมเอี่ยมในอนาคต หากสิ้นพระองค์แล้วได้ทรงมีพระราชปรารภกับสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ หลายคราวว่า
“ฉันมีความในใจอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นการส่วนตัวแท้จะพูดกับใครก็มีความละอายได้เคยพูดแต่กับกรมสมมติ แต่ยังไม่เป็นการตกลงแน่นอนกันอย่างไร คือบรรดาเจ้าจอมที่เป็นคนโปรดปรานของฉันมีลูกหมดทุกคน การภายหน้าของคนเหล่านั้นคิดประกอบกันกับลูกก็พอ เห็นทางที่จะทำไปไม่ยาก แต่มาไม่มีลูกอยู่ 2 คน นางเอี่ยมกับนางเอิบ...
...นางเอี่ยมอยู่มากับฉันถึง 20 ปีแล้ว ถ้าอีก 14 ปี ฉันตายอายุเขาถึง 46 อยู่ข้างจะเกินควรอยู่บ้าง ถ้าทอดธุระเสียว่าเขาคงหาผัวได้ ถ้าเขาหาไม่ได้ฤๅเขาไม่หา เป็นอันเราทำความลำบากให้เขาเมื่อภายแก่...”
หลังจากทรงมีพระราชปรารภดังนี้แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างบ้านที่เพรชบุรี เพื่อจะให้เป็นที่อยู่อาศัยของคุณจอมเอี่ยมดังพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า “...ครั้นเกิดคิดทำบ้านต้นขึ้นคราวนี้ จึงนึกว่าถ้าหาบ้านต้นไว้ที่เพชรบุรีสักแห่งหนึ่งก็จะดี เอาเล็กขนาดคนธรรมดาที่จะปกครองได้ เวลาไปเที่ยวเตร่อยู่ก็รักษาไว้เป็นบ้านต้น เมื่อจะยกให้เมื่อใดก็จะยกให้ได้ถึงจะพลาดพลั้ง เขาก็มีลูกผัวไปก็จะไม่สู้น่าอาย เหมือนก่อสร้างตึกรามอะไรไว้ในบางกอกให้คนไปตอมกันสู้ๆ ซ่า ไปตอมกันบ้านนอกคอกนา จะเสียพระเกียรติยศน้อยลง ถ้าเขาซื่อตรงอยู่ก็เป็นอันได้ให้บำเหน็จรางวัลเลี้ยงตลอดชีวิตสมความที่รักใคร่ เมื่ออยู่ไม่ได้เขาจะย้ายมาบางกอกก็ย้าย เป็นอันฉันได้ให้แล้ว...”
หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต คุณจอมเอี่ยมได้ย้ายออกจากพระบรมมหาราชวังไปพำนักอยู่ตำหนักวังสวนสุนันทา จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 จึงได้ย้ายไปสร้างเรือนใหญ่อยู่ร่วมกับพี่น้องเจ้าจอมก๊กออ บนที่ดินพระราชทานริมคลองสามเสน จนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2495 สิริอายุได้ 79 ปี


