พระพรหมดิลก เจ้าคณะ กทม.ศิษย์สมเด็จฟื้น วัดสามพระยา ฟิตจัด
ในที่สุดคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร ก็ได้เจ้าคณะ กทม. รูปใหม่ แต่คุ้นหน้าในสังคมคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชน คือ พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9)
ในที่สุดคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร ก็ได้เจ้าคณะ กทม. รูปใหม่ แต่คุ้นหน้าในสังคมคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชน คือ พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ที่ละทิ้งเจ้าคณะภาค 14 เข้ารับพระบัญชาจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระ สังฆราช วัดสระเกศ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2556 เป็นเจ้าคณะ กทม. หลังจากมหาเถรสมาคมมีมติให้รับหน้าที่สำคัญนี้
เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2556 มหาเถรสมาคมมีมติแต่งตั้ง พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เจ้าคณะภาค 14 เป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานครรูปใหม่แทนพระธรรมสิทธินายก ที่เกษียณอายุ
พระพรหมดิลก มีนามเดิม เอื้อน นามสกุล กลิ่นสาลี เกิดเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2488 ณ บ้านเลขที่ 116 หมู่ที่ 6 ต.นครหลวง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา อุปสมบทเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2510 ณ วัดมหาพล ต.นครหลวง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา มีเจ้าอธิการพัฒน์ ติสฺส สุวณฺโณ วัดปรีดาราม ต.แม่ลา อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการคต โฆสิโต วัดมหาพล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูอุดมนครกิจ (วาส สุนฺทโร) วัดตะโหนด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ในปี 2523 สอบไล่ได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ปี 2526 เรียนจบปริญญาโท (สาขาบาลีและการศึกษาทางพระพุทธศาสนา) ณ มหาวิทยาลัยพาราณสี สาธารณรัฐอินเดีย ปี 2529 เรียนจบปริญญาเอก (สาขาบาลีและการศึกษาทางพระพุทธศาสนา) ณ มหาวิทยาลัยพาราณสี สาธารณรัฐอินเดีย
หลังรับพระบัญชา พระพรหมดิลก ประกาศนโยบายทันที ว่าสิ่งที่จะต้องทำในฐานะเจ้าคณะ กทม.รูปใหม่ คือ 1.เร่งรัดระเบียบสงฆ์ 2.ส่งเสริมการศึกษาสงฆ์ พร้อมกับเรียกเจ้าคณะเขต เจ้าคณะแขวงทั่ว กทม.มารับนโยบายเมื่อวันที่ 18 เม.ย.
ท่านบอกว่ามีเรื่องที่ต้องดำเนินการแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาการร้องเรียนบ่อยครั้งคือ กรณีพระปลอมบวช พระที่มีอาจารไม่เหมาะสม จึงจะต้องสร้างเครือข่ายพระวินยาธิการ ขอให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบเห็นพระปลอมหรือไม่มีสมณสารูป จะต้องดำเนินการได้ทันท่วงที เพื่อสร้างความเรียบร้อยในหมู่คณะสงฆ์และศรัทธาให้แก่พุทธศาสนิกชน
“ที่สำคัญต้องส่งเสริมการศึกษาสงฆ์ทั้งการเรียนพระ ปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาและแผนกธรรมบาลี เนื่องจากพระสงฆ์ต้องมีความรู้ทั้งทางธรรมและทางโลก โดยเฉพาะเจ้าอาวาสต้องทำหน้าที่ส่งเสริมการศึกษาสงฆ์ มีความรู้ด้านกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ และส่งเสริมให้พระสังฆาธิการรุ่นใหม่เข้าใจสภาพสังคมในปัจจุบันมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมในปี 2558 ที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งพระสงฆ์ไทยจะต้องมีการปรับตัวให้ทันกับสังคมที่เปลี่ยนไปด้วย”
ลีลาแบบนี้ถูกใจสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม ยิ่งนัก เพราะ เจ้าคณะใหญ่หนกลางต้องการพระที่ใจถึง กล้าได้ กล้าเสีย กล้าแลกเพื่อปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนาในสถานการณ์ที่ พุทธศาสนาถูกท้าทายจากต่างศาสนาในรูปแบบต่างๆ ทั้งการเมือง สังคมอย่างมากมาย
นิตยสาร ธงธรรม ให้ความเห็นว่า เจ้าคณะ กทม. ใหม่ ได้แรงหนุนจากพระหนุ่มหรือยังเติร์กในวงการสงฆ์ ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนในวงการสงฆ์ ไม่ใช่ดำเนินนโยบายตั้งรับกับปัญหาอย่างเดียว เพราะพระหนุ่มๆ จากวัดต่างๆ ถือเป็นกำลังสำคัญของวงการสงฆ์ เพราะแต่ละรูปที่อยู่ในวัดต่างๆ มีไม่น้อยที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน ไม่ใช่ว่าจะเดินแต่ละก้าวต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก เหมือนลืมไปว่าโลกที่กำลังหมุนรอบตัวเองนั้นไปถึงไหนกันแล้ว เพราะพระสงฆ์ส่วนใหญ่มีดีกรีความรู้ไม่ธรรมดา ตั้งแต่พระมหาเปรียญ 9 ประโยคจนถึงเจ้าคณะชั้นสามัญ ไม่ต้องพูดถึงดีกรี “ดอกเตอร์” ที่เดินกันเกลื่อนวัดไปหมด
เพื่อกระจายกันรับผิดชอบ ท่านจึงแบ่งงานให้รอง กทม. อีก 2 รูปรับไป คือ พระเทพวิริยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง ให้ดูแลเรื่องการสาธารณูปการและศาสนาสงเคราะห์
พระราชปริยัติเวที เจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม ให้ดูแลเรื่องการศึกษาสงเคราะห์และเรื่องการเผยแผ่
ส่วนการศึกษากับการปกครอง พระพรหมดิลก ดูแลเอง
ท่านยังได้ประกาศนโยบายในเรื่องของการปกครอง คณะสงฆ์ ว่าขอให้เจ้าอาวาสดูแลพระสงฆ์ในวัดไม่ให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะพระที่บวชใหม่ เพราะเมื่อรับใครมาบวชเป็นพระลูกวัดแล้วควรที่จะต้องดูแลให้ดี พร้อมกันนี้ได้ขอให้เจ้าคณะเขต เจ้าคณะแขวง เวลาจะเสนอใครเป็นเจ้าอาวาสให้เสนอรายชื่อมาที่เจ้าคณะกรุงเทพฯ ก่อน และจะให้อบรมที่วัดสามพระยาก่อน 7 วัน ก่อนที่จะมีการพิจารณาอนุมัติเป็นเจ้าอาวาส
เช่นเดียวกับพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชให้ใครไปแล้วจะต้องมีการติดตามคอยดูแลด้วย “ที่สำคัญ เจ้าคณะเขต เจ้าคณะแขวง จะต้องลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมวัดในเขตปกครองของตนเองด้วย ไม่ใช่ว่าเวลาจะทำเรื่องขอสมณศักดิ์เขียนประวัติมาสวยหรู แต่เมื่อไปสอบถามเจ้าอาวาสบางเขตแล้วกลับพบว่าเคยไปตรวจเยี่ยมวัดแค่ปีละครั้งเท่านั้น
นอกจากนี้ แต่ละเขตควรที่จะต้องใส่ใจในเรื่องการศึกษาทั้งนักธรรมและบาลี รวมไปถึงแผนกสามัญศึกษา เพราะเท่าที่ผ่านมาพบว่าบางเขตยังไม่มีพระสงฆ์ที่เป็นพระมหาเปรียญเลยด้วยซ้ำ ทั้งนี้ยืนยันว่าหากแต่ละเขต แขวง รวมไปถึงวัดมีการจัดการศึกษาที่ดี จะส่งผลไปถึงการยกฐานะของวัด รวมทั้งการขอสมณศักดิ์ด้วย”
ในฐานะเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ท่านได้ออกประกาศระเบียบการรับพระอาคันตุกะต่างประเทศ โดยแจ้งไปยังวัดต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ให้ปฏิบัติใน 7 ข้อ อาทิ ต้องตรวจดูหนังสือเดินทางว่าเป็นหนังสือเดินทางประเภทอะไร เมื่อพักอาศัยที่วัดต้องแจ้งจำนวนพระอาคันตุกะต่างประเทศให้เจ้าคณะผู้ปกครองได้ทราบว่ามีจำนวนเท่าไหร่ แต่ละรูปถือหนังสือเดินทางประเภทใด จะพักอยู่ที่วัดนั้นกี่วัน เป็นต้น
เพื่อให้เห็นว่าเอาจริง ได้ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไปเข้าตรวจวัดตะล่อม ย่านพุทธมณฑลสาย 1 เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ที่มีพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร เป็นเจ้าอาวาสและยังมีฐานะเป็นผู้อำนวยการสถาบันธรรมะประชาธิปไตย ประธานสภาธรรมาธิปไตยแห่งชาติ พบพระต่างชาติ 400 กว่ารูปที่พักอาศัยในวัดแห่งนี้ (ไม่ธรรมดา)
ถือเป็นผลงานที่สำคัญ หลังจากดำรงตำแหน่งเจ้าคณะ กทม.ที่เข้ามาจัดระเบียบวัดใน กทม. แต่พระมหาบุญถึง ไม่ใช่พระธรรมดา ภูมิหลังนั้นเป็นพระนักเคลื่อนไหวทางการเมือง มีชื่อเสียงทางสังคมสงฆ์ในระดับหนึ่ง
เรื่องนี้พระพรหมดิลกกล่าวว่า “ที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนมาโดยตลอดตั้งแต่ยังไม่ได้มาเป็นเจ้าคณะกรุงเทพฯ ว่า มีพระต่างชาติออกมาเรี่ยไรเงิน และยังมีการออกบิณฑบาตหลังเวลา 08.00 น. โดยเฉพาะวัดที่ได้รับการร้องเรียนในเรื่องลักษณะนี้เข้ามามากที่สุดคือ วัดตะล่อม มีทั้งพระจากกัมพูชา บังกลาเทศ ศรีลังกา โดยเป็นพระจากกัมพูชามากที่สุด” พระพรหมดิลก ระบุหลังการดำเนินการกับพระต่างชาติ และยังมีหนังสือแจ้งเตือนไปยังพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร เจ้าอาวาสวัดตะล่อม เพื่อให้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ทำ ตำแหน่งของเจ้าอาวาสวัดตะล่อม อาจไม่ใช่ชื่อพระมหาบุญถึง ก็ได้ (ขู่)
นอกจากแก้ปัญหาพระต่างชาติ พระพรหมดิลก เดินหน้าต่อด้วยการตั้งทีมกฎหมายของคณะสงฆ์กรุงเทพฯ เพื่อช่วยพระสงฆ์ ที่ปัจจุบันมีภัยคุกคามหลายชนิดโดยไม่รู้ตัว
ที่เห็นแล้วยังไม่แก้ไขคือพระบิณฑบาตอยู่กับที่ จึงแจ้งไปยังเจ้าคณะแขวง เจ้าคณะเขต ให้ดำเนินการกับพระสงฆ์ที่ออกเรี่ยไรเงิน รวมทั้งพระสงฆ์ที่บิณฑบาตอยู่กับที่
หากพุทธศาสนิกชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้แจ้งไปยังเจ้าคณะแขวง เจ้าคณะเขต ในพื้นที่นั้นได้ทันที รวมทั้งยังสามารถแจ้งมายังสำนักงานเจ้าคณะกรุงเทพฯ วัดสามพระยา ได้เช่นกัน”
สรุปว่าถ้าเป็นเจ้าคณะ กทม. ซึ่งถือเป็นสุดยอดการปกครองและเป็นหัวใจในวงการสงฆ์ แล้วทำอะไรไม่เป็นเรื่อง ก็เสียเหลี่ยมลูก อ.ย. ลูกศิษย์สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น) แน่นอน


