ชีวประวัติ (ย่อ) หลวงปู่คูณ สุเมโธ (จบ)
พระอาจารย์คูณ พำนักปฏิบัติธรรมอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น ปรากฏคืนหนึ่งเมื่อท่านเดินจงกรมเสร็จ
๏ บุรุษลึกลับ แขกยามวิกาลมาเยือน
พระอาจารย์คูณ พำนักปฏิบัติธรรมอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น ปรากฏคืนหนึ่งเมื่อท่านเดินจงกรมเสร็จ ก็นั่งสมาธิภาวนาต่อ เมื่อถึงเวลาพอสมควรท่านจึงเอนกายลงเพื่อจะหลับนอน พอลำตัวกระทบพื้นเท่านั้นเอง ก็ได้มีสิ่งแปลกประหลาดมาแสดงปรากฏให้พระอาจารย์คูณทราบ เป็นบุรุษลึกลับร่างกายสูงใหญ่แล้วแกว่งดาบเสียงดังวิ้วๆ ไปรอบๆ บุรุษนั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาท่านอย่างไม่เป็นมิตร พระอาจารย์คูณก็ถามออกไปว่า “ป๊าดโธ่...คนอีหยัง คือมาสูงใหญ่แท้ จะมาเอาอะไรกะกูอีกละคราวนี้”
พอดีมีเสียงสตรีเพศนางหนึ่ง ได้เข้ามาบอกบุรุษลึกลับร่างดำทมิฬผู้นั้นว่า ไม่ให้เข้ามาทำร้ายหลวงพ่อ ด้วยเหตุที่เขาคิดว่าพระภิกษุรูปนี้จะมานอนเฉยๆ ไม่มาภาวนา สตรีนางนั้นจึงตอบไปว่า “ท่านภาวนาแล้วนะ ท่านก็เพิ่งล้มตัวลงนอนนี่เอง” บุรุษลึกลับผู้นั้นจึงหยุดเดินเข้ามาหาพระอาจารย์คูณ แต่มือก็ยังแกว่งดาบไม่หยุดดัง วิ้วๆ วิ้วๆ พระอาจารย์คูณจึงได้หลับไป
พอรุ่งเช้า พระอาจารย์คูณได้ตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงวิ้วๆ วิ้วๆ จึงนึกเอะใจ ว่าใครหนอจึงได้ใคร่ครวญพิจารณาดู และลุกออกจากกลด ก็ได้พบเห็นเสียงลมพัดใบสนดังวิ้วๆ วิ้วๆ ท่านจึงนึกในใจว่า หรือว่าจะเป็นเจ้านี่ที่มาแกว่งดาบทั้งคืน หลวงปู่คูณท่านเล่าถึงอดีตมาถึงตรงนี้แล้วก็หัวเราะด้วยความขบขัน จากนั้นพระอาจารย์คูณ และพระอาจารย์สอน ได้แยกออกไปภาวนาอยู่ในหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เมื่อฝนตกลงมาอากาศก็หนาวเหน็บจนเข้ากระดูก ท่านพระอาจารย์ทั้งสองต้องทนหนาวอยู่ถึง 10 วัน ชาวบ้านเผ่ามูเซอเองก็ขาดแคลนไม่ค่อยมีผ้าห่มใช้ เวลาเขาหนาวก็จะผิงไฟแก้หนาว
พอดีมีโยมจากพื้นราบขึ้นมาค้าขายกับชาวมูเซอ เมื่อเห็นพระสงฆ์ จึงถามชาวบ้านว่า “ตุ๊เจ้า มีผ้าห่มใช้กันไหม” เมื่อทราบว่าท่านทั้งสองไม่มีผ้าห่มใช้ จึงได้สละปัจจัยร่วมกับชาวบ้านไปหาซื้อผ้าห่มมาถวาย อีกหมู่บ้านหนึ่งมีพระกรรมฐานมาบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ชื่อว่า พระอาจารย์ผจญ อสโม ท่านเป็นศิษย์ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม และ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม (ปัจจุบัน หลวงพ่อผจญ อสโม ท่านพำนักอยู่วัดป่าสิริปุญญานุสรณ์ บ้านหมากแข้ง ต.หนองงิ้ว อ.วังสะพุง จ.เลย) ท่านทราบข่าวว่าที่หมู่บ้านใกล้ๆ มีพระสองรูปไม่มีผ้าห่มใช้ จึงสั่งโยมให้ไปหาผ้าห่มนำไปถวายพระอาจารย์คูณ และพระอาจารย์สอน
พระอาจารย์คูณจึงรำพึงถึงบุพกรรมใดหนอที่ทำให้เรามาทนหนาวทรมานอยู่อย่างนี้ จึงระลึกขึ้นได้ว่า สมัยเป็นเด็กเลี้ยงควาย พาไปเลี้ยงกลางทุ่ง พอตากฝนกลับมาบ้านควายนอนหนาวสั่น เราเองก็ไม่ได้ก่อไฟให้ควายผิง จึงทำให้ควายมันหนาวสั่น “โอ้...กูนี่ไม่ได้ก่อไฟสุมไฟให้ควาย กูเลยต้องมานอนหนาวเหมือนควายเลยเน้อ” ท่านกล่าวว่า ถ้าพูดเรื่องกรรมนี่ ได้มาชดใช้กรรมทุกอย่าง
พระอาจารย์คูณพำนักอยู่ที่หมู่บ้านชาวมูเซอเป็นเวลาพอสมควรแล้ว จึงได้พร้อมหมู่คณะเดินทางกันไปกราบนมัสการหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ได้มาพบกันกับพระอาจารย์ผจญ อสโม จึงได้ร่วมกับหมู่คณะด้วยกัน 5 รูป มี พระอาจารย์คูณ พระอาจารย์ผจญ พระอาจารย์สอน พระอาจารย์ชูศักดิ์ พระอาจารย์มาณพ ออกเที่ยววิเวกแบกกลดรอนแรมอยู่ตามป่าเขาจาก ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จนมาถึง อ.แม่แตง ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า (ถ้าใครเคยใช้เส้นทางรถเส้นนี้จะรู้ว่าเป็นเส้นทางที่หฤโหดมาก เป็นเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านหุบเขาต่างๆ นานา แต่นี่ครูบาอาจารย์ท่านตรากตรำเดินกันด้วยเท้า) จากนั้นจึงธุดงค์ต่อจนมาถึงที่โป่งเดือดป่าแป๋ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ พอดีมีรถบรรทุกหินลิกไนต์มาจอดถามคณะพระธุดงค์ว่าจะเดินทางไปไหน จึงได้อาสาไปส่ง
๏ โปรดชาวเขา ชาวกะเหรี่ยง ชาวมูเซอ
คณะพระธุดงค์ได้ตอบไปว่า จะขึ้นไปที่บ้านชาวกะเหรี่ยง บ้านแม่เมืองหลวง ซึ่งอยู่ในหุบเขาเขต อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อโชเฟอร์ทราบวัตถุประสงค์ของคณะพระธุดงค์แล้ว จึงปวารณาไปส่งให้ แต่ว่าโชเฟอร์เองก็ไม่รู้ทางจึงขับเลยไป คณะพระธุดงค์จึงต้องแยกลงระหว่างทาง เพราะรถบรรทุกจะเข้าไปที่เหมืองลิกไนต์ต่อ คณะพระธุดงค์ก็แบกกลด สะพายบาตร เดินกันต่อไปจนมาถึงบ้านเวียงหลวง ในเขต อ.ปาย ได้พักอาศัยกระท่อมของชาวบ้าน ตื่นเช้ามาบิณฑบาต พอฉันเสร็จสรรพ เตรียมธุดงค์กันต่อ ก็พอดีมีปลัดผู้หนึ่งทราบข่าวว่ามีคณะพระสงฆ์ธุดงค์ผ่านมา จึงได้มาอาราธนานิมนต์ให้ไปโปรดชาวบ้านศาลาเมืองน้อย ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยง เพราะที่นั่นเองมีแต่พวกคริสต์ได้ไปเผยแผ่ศาสนา แต่ชาวบ้านอยากได้พระพุทธศาสนาไปเผยแผ่บ้าง คณะสงฆ์จึงรับนิมนต์ ได้มีลูกหาบมาช่วยกันหาบของให้ โดยมีปลัดเป็นผู้นำทางไป
เมื่อมาถึงคณะสงฆ์จึงจัดแจงหาที่พักพำนัก อากาศที่นี่สบายนัก ปลอดโปร่งแวดล้อมไปด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ บริเวณอาณาเขตบ้านศาลาเมืองน้อยนี้เป็นเมืองเก่าแก่ ซึ่งถูกพวกพม่ามาเผาเสียเรียบ พบเห็นซากปรักหักพังของเจดีย์เก่าแก่ ซากโบสถ์ คูเมืองเก่าก็ยังพอเห็นร่องรอยความเจริญในอดีต เมื่อคณะสงฆ์ทั้ง 5 รูป ได้เดินตรวจดูเรียบร้อยแล้ว จึงได้แยกย้ายกันไปพำนักในแต่ละหมู่บ้าน พระอาจารย์คูณอยู่บ้านศาลาเมืองน้อยแห่งนี้ พระอาจารย์ผจญพำนักอยู่บ้านกิ่งเหนาะ พระอาจารย์มาณพอยู่บ้านห้วยเฮี้ย และพระอาจารย์ชูศักดิ์ กับพระอาจารย์สอน พักร่วมกันสองรูป อยู่ที่บ้านห้วยหก ซึ่งแต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างกันนับสิบกิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินทางหากันเป็นชั่วโมง การเดินทางไปมาหาสู่จึงไม่สะดวกนัก ต่างคนต่างก็พากเพียรบำเพ็ญภาวนาเพื่อละกิเลสของตน
ที่หมูบ้านศาลาเมืองน้อยแห่งนี้เป็นชาวบ้านเผ่ามูเซอ มีตำรวจตระเวนชายแดนมาสร้างโรงเรียนสมเด็จย่าไว้ ตกตอนเย็นพวกนักเรียนก็มาอบรมอยู่กับท่าน พอตอนเย็นพระอาจารย์คูณจึงได้พาพวกนักเรียนไหว้พระสวดมนต์
๏ เขียนจดหมายกราบเรียน หลวงพ่อสิงห์ทอง
ก่อนฤดูเข้าพรรษาในปีนั้น พระอาจารย์คูณได้เขียนจดหมายกราบเรียน หลวงพ่อสิงห์ทอง ธัมมวโร ให้ทราบว่าปีนี้จะจำพรรษารูปเดียว หลวงพ่อสิงห์ทองจึงแนะนำการปฏิบัติตนในการอยู่จำพรรษารูปเดียวอย่างละเอียด ถึงฤดูวันเข้าพรรษาพระอาจารย์คูณจึงได้อธิษฐานพรรษา ณ บ้านศาลาเมืองน้อย พักจำพรรษาอยู่กับพวกชาวมูเซอ ท่านอยู่กับพวกชาวเขาเป็นเวลา 1 ปี ก็ตั้งใจจะกลับมาหาหลวงพ่อสิงห์ทอง ก็พอดีทราบข่าวจากหมู่คณะเขียนจดหมายมาบอกให้ทราบข่าวอันสลดสังเวชว่า “หลวงพ่อสิงห์ทองเครื่องบินตก ท่านมรณภาพแล้ว” คณะสงฆ์นำโดยพระอาจารย์คูณ จึงรีบพากันกลับวัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
หลวงพ่อสิงห์ทอง ท่านประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกได้ถึงแก่มรณภาพ ณ ท้องนาทุ่งรังสิต เขตหมู่ 4 ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 เม.ย. 2523 เวลาประมาณ 14.00 น. อยู่จำพรรษาที่วัดป่าแก้วชุมพลมาจนกระทั่งถึงปี 2523 สิริอายุได้ 56 ปี พรรษา 36 พร้อมกับครูบาอาจารย์อีก 4 รูป คือ หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม หลวงปู่วัน อุตฺตโม หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ และท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม พระอาจารย์คูณได้อยู่ช่วยงานประชุมเพลิงสรีระสังขารของหลวงพ่อสิงห์ทอง ธัมมวโร จนแล้วเสร็จ
๏ กลับคืนสู่ภาคเหนืออีกครั้ง
หลังจาก หลวงพ่อสิงห์ทอง ธัมมวโร มรณภาพแล้ว พระอาจารย์คูณก็ธุดงค์ขึ้นไปทางภาคเหนืออีกรอบ ซึ่งครั้งนี้พระอาจารย์คูณได้ไปจำพรรษาร่วมกับท่านพระอาจารย์เย็น ที่หมู่บ้านชาวเขาบนดอย หากแต่อยู่ห่างกันคนละสำนัก ส่วนพระอาจารย์สอนไม่ได้ขึ้นมาด้วย แต่อยู่ที่วัดป่าแก้วชุมพลต่อ ในพรรษานี้พระอาจารย์คูณได้มาอยู่ร่วมกับชาวบ้านชาวกะเหรี่ยงและมูเซอ ซึ่งมีบ้านละ 2 หลังคาเรือนเท่านั้น โดยมีธารน้ำไหลผ่านอยู่ตรงกลางไม่ได้อาศัยร่วมกัน การบิณฑบาตท่านก็รับบาตรทั้งชาวกะเหรี่ยง และชาวมูเซอ แต่หากวันไหนฝนตกท่านก็บิณฑบาตเฉพาะบ้านกะเหรี่ยงเท่านั้น
พระอาจารย์คูณท่านพำนักอยู่เพียงรูปเดียว ด้านการปฏิบัติธรรมภาวนาเป็นไปสะดวกราบรื่น เพราะไม่ต้องมีภาระมาก พวกชาวเขามูเซอและชาวกะเหรี่ยงก็จะพาลูกหลานมาให้ท่านช่วยสอนหนังสือภาษาไทยให้ ในเรื่องการทำความเพียร ท่านก็อดนอนผ่อนอาหาร ทำความเพียรถือเนสัชชิกตลอดทั้งพรรษา บ้างก็อดอาหารนาน 15 วัน การพิจารณาธรรมเป็นไปตามลำดับ พรรษานี้ท่านรู้สึกดูดดื่มในรสพระธรรม เร่งปฏิบัติตามมรรค พระอาจารย์คูณท่านว่า “ปฏิบัติตนในหลักมรรคสามัคคี แล้วก็รวมได้จึงได้พ้นทุกข์”
๏ คืนสู่ภาคอีสาน อยู่เป็นหลักใจ
หลังจากออกพรรษาในปี 2523 แล้ว ท่านพระอาจารย์คูณจึงได้กลับมาทางภาคอีสาน และได้เข้าไปอยู่ร่วมเป็นกำลังหลักให้กับท่านพระอาจารย์อุ่นหล้า ฐิตธัมโม ที่วัดป่าแก้วชุมพลต่ออีก 5 พรรษา คือ ปี 25242528 ก่อนจะไปวิเวกอยู่กับ หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ ที่วัดถ้ำยา (ภูลังกา) บ้านนาโพธิ์ อ.บ้านแพง จ.นครพนม อีก 4 พรรษา หลังจากนั้นหลวงปู่บุญมีได้พาคณะศิษย์ออกจากภูลังกา แล้วมาจำพรรษายังวัดป่าบ้านใหม่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ร่วมกันอีก 1 พรรษา จากนั้นหลวงปู่บุญมีได้ไปอยู่วัดป่านาคูณ ต.บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ส่วนท่านพระอาจารย์คูณก็มาพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าภูทอง บ้านภูทอง ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
ในส่วนของวัดป่าภูทองนี้ เป็นวัดป่าสายปฏิบัติธรรม สังกัดธรรมยุติกนิกาย ได้ตั้งชื่อตามพระธาตุภูทอง ที่อยู่ในเขตใกล้ๆ วัด ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีมานานแล้ว โดย หลวงปู่บัวคำ มหาวีโร ศิษย์ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม (หลวงปู่บัวคำ ท่านเป็นชาวหนองบัวบาน บวชพร้อมกับ หลวงปู่ลี กุสลธโร ในวันประชุมเพลิง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ได้เข้ามาบุกเบิก จากนั้นหลวงปู่บัวทอง ซึ่งเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกับหลวงปู่บัวคำ ได้เข้ามาสร้างเสนาสนะ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม หลังจากนั้น หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร ได้เข้ามาตั้งสำนักอยู่ที่นี่ มีพื้นที่ประมาณ 85 ไร่ 3 งาน ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี 2531 สืบต่อมาด้วยหลวงปู่คูณนับตั้งแต่ปี 2533 เรื่อยมาตามลำดับ


