ลาภมิควรได้ (2)
สัปดาห์ที่แล้วผมนำเรื่องลาภมิควรได้มาให้ท่าน (ที่ไม่ใช่นักกฎหมาย) ได้เข้าใจหลักการเบื้องต้น ส่วนท่านที่เป็นนักกฎหมาย ท่านย่อมรู้ลึกกว่าสิ่งที่ผมนำเสนอแล้ว
สัปดาห์ที่แล้วผมนำเรื่องลาภมิควรได้มาให้ท่าน (ที่ไม่ใช่นักกฎหมาย) ได้เข้าใจหลักการเบื้องต้น ส่วนท่านที่เป็นนักกฎหมาย ท่านย่อมรู้ลึกกว่าสิ่งที่ผมนำเสนอแล้ว
วันนี้ ผมนำเรื่องควรรู้จากลาภมิควรได้มาเล่าสู่กันฟังอีกสักครั้ง
คดีบางเรื่องยากที่จะชี้ชัดว่าเป็นลาภมิควรได้หรือไม่ ต้องอาศัยคำพิพากษาฎีกา
มีคดีเรื่องหนึ่งเป็นคดีครอบครองปรปักษ์และมีประเด็นเรื่องค่าเสียหาย น่าสนใจดี
คำพิพากษาฎีกาที่ 1237/2522 โจทก์จำเลยรับข้อเท็จจริงกันว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2512 จำเลยฟ้องนาย ส. ต่อศาลชั้นต้นศาลพิพากษาขับไล่นาย ส. ออกจากที่พิพาท เมื่อปี 2513 นาย ส. ขอทุเลาการบังคับคดีชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาต โดยให้นำเงินค่าเสียหายวางศาลเดือนละ 100 บาท นับแต่เดือนสิงหาคม 2512 เป็นต้นไป และผู้รับมรดกความของนาย ส. ซึ่งถึงแก่ความตายนำเงินค่าเสียหายมาวางศาลเดือนละ 100 บาท นับแต่เดือนสิงหาคม 2512 จนถึงเดือนตุลาคม 2519 รวมเป็นเงิน 8,700 บาท คดีขับไล่นี้ ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชนะคดีถึงที่สุดแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2516 จำเลยได้รับเงิน 8,700 บาทไปจากศาลแล้ว
โจทก์ในคดีนี้ได้ฟ้องจำเลยเมื่อปี 2515 ว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2520 โจทก์ขอให้จำเลยนำเงินที่รับไปจากคดีขับไล่คืนให้โจทก์ เพราะโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามการครอบครองปรปักษ์
โจทก์จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเพียงประเด็นข้อเดียวว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินจากจำเลยฐานเป็นลาภมิควรได้หรือไม่เพียงใด
ศาลฎีกาตัดสินว่า เงินที่จำเลยได้รับไปนั้น มีมูลตามกฎหมาย ไม่ใช่ลาภมิควรได้ จึงไม่ต้องคืนให้โจทก์
คดีนี้ศาลฎีกาไม่ได้อธิบายเหตุผลในการตัดสินว่า ทำไมจึงไม่เป็นลาภมิควรได้ ผมจึงลำดับเหตุการณ์เพื่อให้เข้าใจเรื่องให้ชัดเจน คดีนี้ ท่านศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ได้เขียนหมายเหตุท้ายฎีกาไว้สั้นๆ ว่า “เท่าที่ปรากฏในคดี จำเลยชนะคดีได้ค่าเสียหายจาก ส. แม้ที่ดินจะเป็นของโจทก์ตามที่โจทก์ชนะคดีจำเลยอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ปรากฏว่าโจทก์กับ ส.มีฐานะสืบเนื่องฐานะเดียวกัน ลาภที่ได้แก่จำเลยไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบที่โจทก์จะอ้างว่าเป็นลาภมิควรได้ ที่จำเลยต้องคืนให้โจทก์”
ตามความเห็นของศาสตราจารย์จิตติตามหมายเหตุท้ายฎีกานี้ ท่านเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าโจทก์เสียเปรียบ จึงไม่เป็นลาภมิควรได้
การได้ลาภงอกขึ้นโดยไม่มีมูลตามกฎหมายที่เป็นลาภมิควรได้นี้ มีข้อยกเว้นที่ผู้ได้ลาภงอกไม่ต้องคืนตามมาตรา 407
“บุคคลใดได้กระทำการอันใดตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่า เพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ ท่านว่า บุคคลผู้นั้นหามีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์คืนไม่”
ข้อยกเว้นนี้ เป็นการชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีหนี้ แต่ยังชำระหนี้ให้ไป กฎหมายถือเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ (ซึ่งใกล้เคียงกับการให้โดยเสน่หา)
การชำระหนี้ตามอำเภอใจนี้ ต้องไม่ใช่การเข้าใจผิดหรือที่กฎหมายใช้คำว่า สำคัญผิดว่าตนเองมีหนี้ แล้วชำระหนี้ไปตามที่สำคัญผิดนั้น หากชำระหนี้โดยสำคัญผิด กฎหมายถือว่าเป็นลาภมิควรได้ เรียกคืนได้
การสำคัญผิดนี้ ถือเอาเจตนาของผู้ชำระหนี้ฝ่ายเดียว
คำพิพากษาฎีกาที่ 2819/2532 “ปรากฏว่าจำเลยได้ให้การไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์ถูกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2531 ในเดือนดังกล่าวโจทก์จึงมีสิทธิรับค่าจ้างถึงเพียงวันที่ 21 หลังจากนั้นไม่มีสิทธิได้รับ ฉะนั้น การที่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2531 โจทก์จึงได้รับค่าจ้างเกินไป เห็นว่า ตามคำให้การดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยรู้ดีอยู่ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างเพียงถึงวันที่ 21 มกราคมเท่านั้น ที่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์หลังจากวันดังกล่าวจนถึงวันที่ 31 มกราคม จึงเป็นการจ่ายตามอำเภอใจโดยไม่ปรากฏเหตุที่จะทำให้สำคัญผิดแต่อย่างใด”
มีคำพิพากษาของศาลฎีกาที่วินิจฉัยตามมาตรา 407 ตรงๆ เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 4165/2532
ช. เจ้าหนี้โจทก์ได้โอนสิทธิการรับเงินค่าก่อสร้างให้ ก. และโจทก์ยอมรับว่าจะจ่ายให้ก. แล้ว สิทธิการรับเงินของ ช. ย่อมหมดไป การที่โจทก์ส่งเงินดังกล่าวให้ศาลตามหมายอายัด เป็นความเข้าใจผิดของโจทก์ โจทก์มีสิทธิติดตามเอาคืนได้ โจทก์ส่งเงินค่าก่อสร้างที่ยังค้างชำระแก่ศาลในคดีที่ ช. เจ้าหนี้เดิมถูกจำเลยฟ้องเพราะมีหมายอายัดมา โจทก์จึงเข้าใจว่าต้องส่งไปให้ศาลและศาลคงอายัดไม่ได้ส่งไปชำระหนี้ผู้ใด การที่จำเลยกับ ช. ประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมรับเงินที่โจทก์ส่งศาล จะถือว่าโจทก์กระทำตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่า เพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตาม ป.พ.พ.มาตรา 407 ไม่ได้
คำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ บอกให้เรารู้ว่าแม้ชำระหนี้โดยคำสั่งของศาล แต่เป็นการสำคัญผิด ก็ยังสามารถเรียกคืนตามมาตรา 407 ได้
มีคดีที่เกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเรามักไม่ได้ระแวงสงสัย คือ การคิดดอกเบี้ยของธนาคารซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มีใครสงสัย เพราะเชื่อถือที่เป็นธนาคาร แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ธนาคารคิดดอกเบี้ยผิดพลาดเป็นจำนวนมาก แต่ธนาคารจะส่ง Statement ให้ตรวจสอบทุกเดือน หากทราบภายหลังว่าธนาคารคิดดอกเบี้ยเกินจะทำอย่างไร ฎีกานี้มีคำตอบ
คำพิพากษาฎีกาที่ 8714/2551 จำเลยนำเงินมาชำระหนี้แก่ธนาคารหรือโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง ได้นำไปหักหนี้ต่างๆ ตามจำนวนที่ธนาคารหรือโจทก์คิดคำนวณขึ้นมาเอง ประกอบกับธนาคารเป็นสถาบันการเงินอันเป็นกิจการซึ่งเป็นที่เชื่อถือของประชาชน ย่อมมีเหตุที่ทำให้จำเลยเข้าใจและเชื่อว่าธนาคารหรือโจทก์คิดดอกเบี้ยถูกต้องแล้ว กรณียังถือไม่ได้ว่า จำเลยชำระหนี้ที่คิดคำนวณไม่ถูกนั้น เป็นการกระทำตามอำเภอใจเสมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่า ตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตาม ป.พ.พ.มาตรา 407
ฎีกาฉบับนี้บอกให้เรารู้ว่า แม้ธนาคารก็อย่าไว้วางใจ


