จดจำรำลึก"พญาชาละวัน"
"พล.ต.สนั่น"เป็นนักการเมืองที่ผ่านชีวิตมาแบบครบทุกรสชาติ ตั้งแต่จุดสูงสุดมากด้วยบารมีจนไปถึงจุดต่ำสุด
โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
“พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” อดีตรองนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมไปเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นนักการเมืองที่ผ่านชีวิตมาแบบครบทุกรสชาติ ตั้งแต่จุดสูงสุดมากด้วยบารมีจนไปถึงจุดต่ำสุด เมื่อครั้งต้องออกจากพรรคประชาธิปัตย์
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในยุทธจักรการเมืองไทยก็ไม่อาจไร้บุรุษผู้สร้างตำนานงูเห่าจนทำให้ “ชวน หลีกภัย” ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปได้
ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชพิธีเพลิงศพ พล.ต.สนั่น จำนวน 437 หน้า ที่ได้จัดทำเพื่อเผยแพร่ในวันที่ 21 พ.ค.นั้น นับว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการเมืองไทย เพราะได้รวมเอาคำไว้อาลัยของผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงทางการเมือง การทหาร และภาคเอกชนที่มีต่อ พล.ต.สนั่น เอาไว้เกือบ 100 คน
หนึ่งในนั้น คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งใช้เวลาเขียนเพียงไม่ถึงชั่วโมงหลังจากได้รับการประสานงานจากครอบครัวขจรประศาสน์
“เรารู้จักกันมานาน เคยรับราชการในหน่วยเดียวกันมานาน สนั่นเป็นทหารที่ดี เป็นนักการเมืองที่เก่ง สิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจเขาเสมอ คือ ไม่ลืมบุญคุณของผู้หยิบยื่นให้ นับตั้งแต่เพื่อน ผู้บังคับ จนกระทั่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของเขา ขอให้เขาได้ขึ้นสวรรค์”
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เขียนความในใจถึง เสธ.หนั่น เช่นกัน
“เมื่อประมาณ 3 เดือน ก่อนพี่สนั่นจะจากไป ก็ยังได้รับประทานอาหารค่ำด้วยกันที่ลอนดอน ซึ่งวันนั้นพี่สนั่นได้บอกกับผมถึงความมุ่งมั่นที่จะกลับไปทำหน้าที่สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเป็นงานสุดท้าย ก่อนจะอำลาการเมือง
...พี่สนั่นเป็นแบบฉบับของการเล่นการเมืองที่เคารพกติกา มีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไม่เอาเป็นเอาตายกันเหมือนทุกวันนี้”
แต่หากจะบอกว่าคำไว้อาลัยของใครน่าสนใจและสะท้อนถึงความเป็นตัวตนของ พล.ต.สนั่น ได้มากที่สุดต้องยกให้กับ “กล้านรงค์ จันทิก” กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการพูดถึงเมื่อครั้งที่ เสธ.หนั่น ต้องหลุดออกจากเก้าอี้รัฐมนตรี เพราะคดีปกปิดทรัพย์สินเมื่อปี 2543
“ผมรู้จัก พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ มาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ได้เมตตาให้ความรักผมเสมือนเป็นน้องชายคนหนึ่ง ผมเรียกท่านว่า ‘พี่หนั่น’
ตอนเย็นเลิกงานในวันที่ว่าง ผมและพรรคพวกจะไปไดรฟ์กอล์ฟและสังสรรค์กันต่อที่สโมสรสนามม้านางเลิ้ง เนื่องจากอาหารราคาไม่แพงนัก หลายๆ ครั้ง ผมได้พบกับ พล.ต.สนั่น ซึ่งท่านก็จะทักทายและพูดคุยกับผมอย่างเป็นกันเอง”
“...พล.ต.สนั่น ไม่ได้โกรธเคืองหรือมีจิตใจอาฆาตผมแต่อย่างใดทั้งสิ้น ทั้งในระหว่างที่สู้คดีกันและหลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยแล้ว เมื่อพบกันในงานต่างๆ ท่านก็ยังทักทายและพูดคุยกับผมอย่างเป็นกันเองเช่นเดิม”
“ผมไปพบท่านที่สนามบินน้ำ โดยให้คนที่รู้จักพาไป วันนั้นผมได้นั่งคุยกับท่านนานมากประมาณชั่วโมงเศษ เราได้คุยกันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจุดอ่อนในการต่อสู้คดี ที่ทำให้ท่านต้องแพ้คดี”
“มีบางเรื่องที่ท่านได้รับฟังมาจากคำยุยงที่ไม่ถูกต้องทำให้ท่านเข้าใจผิดในบางคน ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเข้ามามีบทบาทชี้นำการวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ผมได้ยืนยันกับท่านว่า บุคคลนั้นไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องและไม่มีบทบาทในเรื่องนี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น”
“พล.ต.สนั่น ได้ทั้งฟังและมองหน้าผมนิ่งตลอดเวลา เมื่อผมพูดจบท่านได้ลุกขึ้นและยื่นมือมาให้ผมจับพร้อมกับพูดว่า ‘ผมเชื่อคุณ’ นั่นคือประโยคสุดท้ายเป็นประโยคที่สำคัญที่สุด” ส่วนหนึ่งจากตัวอักษรที่กรรมการ ป.ป.ช.ได้กลั่นออกมา


