ความสัมพันธ์พุทธศาสนา ไทย-ศรีลังกา ในรัชกาลที่ 2
ปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยกับประเทศศรีลังกาจัดงานฉลอง 260 ปี การก่อตั้งสยามวงศ์ดังที่ทราบกันแล้ว หลังจากนั้นความสัมพันธ์ทางศาสนาของ 2 ประเทศ ยาวนานต่อเนื่องนับถึงปัจจุบัน
โดย...สมาน สุดโต
ปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยกับประเทศศรีลังกาจัดงานฉลอง 260 ปี การก่อตั้งสยามวงศ์ดังที่ทราบกันแล้ว หลังจากนั้นความสัมพันธ์ทางศาสนาของ 2 ประเทศ ยาวนานต่อเนื่องนับถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะการสนับสนุนจากประมุขของทั้ง 2 ประเทศ ดังเช่นในสมัยรัชกาลที่ 2 หรือสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น ทางประเทศไทยหรือสยาม ได้แต่งตั้งสมณทูตไปเยือนศรีลังกาครั้งหนึ่ง
สืบเนื่องจากตอนปลายรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2352 จุลศักราช 1171 มีพระภิกษุชาวลังกา 1 รูป ชื่อพระวลิตร และสามเณร 2 รูป เดินทางจากนครศรีธรรมราชมากรุงเทพฯ จึงโปรดให้พระวลิตรกับสามเณร 1 รูป พักวัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นสำนักสมเด็จพระสังฆราช และสามเณรอีกรูปหนึ่งให้พำนักวัดพระเชตุพนฯ ในสมัยรัชกาลที่ 2 สามเณรลังกาทั้ง 2 รูป ขออุปสมทบเป็นพระภิกษุในสยามวงศ์ เพราะถือว่าเป็นวงศ์เดียวกับพระในลังกาทวีปซึ่งเป็นสยามวงศ์ที่พระอุบาลีอยากไปเผยแผ่ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ครั้งกรุงศรีอยุธยา จึงโปรดเกล้าฯ ให้อุปสมบท ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสนาราม และพระราชทานนิตยภัตในปีต่อมา
ต่อมาในปี 2356 มีพระลังกาชื่อ พระศาสนวงศ์ เข้ามาอีก 1 รูป อ้างว่ามาในนามสังฆนายกลังกา ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย แต่ไม่มีหนังสือสำคัญหรือสมณสาส์นอันใดมาแสดง เมื่อถามถึงความเป็นไปทางศาสนาในลังกาก็ให้การเรื่อยเปื่อย ซ้ำยังมารังเกียจพระลังกาที่มาอยู่ก่อน 3 รูป วัตรปฏิบัติไม่น่าเลื่อมใส จึงทรงแคลงพระราชหฤทัยว่าจะไม่ใช่พระที่อุปสมบทจากลังกาจริง ทั้งๆ ที่พระลังกากับไทยน่าจะไปด้วยกันได้เพราะเป็นสมณวงศ์ไปจากสยาม
ก็ทั้ง 2 ประเทศเคยมีศาสนสัมพันธ์อันดีต่อกันมายาวนานตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา แต่เลิกร้างไปนานเพราะการศึกสงคราม ในขณะที่สยามก็มีความมั่นคงเป็นอิสระดีแล้ว มีกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ส่วนลังกานั้นได้ข่าวว่าเกิดสงครามเสียท่าแก่อังกฤษ จึงจะสอบสวนหาความจริงเรื่องการพระศาสนาในลังกา ในการนี้จึงทรงมอบหมายให้สมเด็จพระวันรัตน์ (มี) วัดราชบูรณะ กับพระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) ให้หาพระจากคณะเหนือและใต้เป็นพระสมณทูตไปลังกา ซึ่งทั้ง 2 ท่านหาพระได้ 8 รูปด้วยกัน
พระลังกา 2 รูป พระรัตนปาละและพระหิธายะ ที่อุปสมบทในกรุงเทพฯ มีความประสงค์จะเดินทางไปด้วยก็ทรงอนุญาต จึงรวมสมณทูตเป็น 10 รูป การเดินทางทั้ง 10 รูปนั้น พร้อมกับเครื่องบูชาพระทันตธาตุของหลวงเป็นดอกไม้เงินดอกไม้ทอง 16 สำรับ เทียนใหญ่ธูปใหญ่ 300 คู่ พร้อมกับเครื่องอัฐบริขารสำหรับพระราชทานพระสังฆนายกอนุนายก และพระเถระที่รักษาพระธาตุ ณ เมืองสิงขัณฑศิริวัฒนบุรี และสมณสาสน์จากสมเด็จพระสังฆราชถึงสังฆนายก และโปรดให้หมื่นไกร กรมการเมืองนครศรีธรรมราช เป็นไวยาวัจกรติดตามสมณทูต และคุมต้นไม้เงินต้นไม้ทองไปด้วย
สมณทูตออกเดินทางจากกรุงเทพฯ แต่ต้องเสียเวลาการเดินทางมาก ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะถึงลังกา เมื่อออกจากกรุงเทพฯ ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 2 หรือ 24 ธ.ค. 2356 เรือเจอพายุใหญ่เสียหายไปขึ้นฝั่งที่ชุมพร พระยาชุมพรจัดเรือใบส่งถึงไชยา ถึงนครศรีธรรมราชวันที่ 16 ก.พ. 2357 หรือขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ไม่ทันฤดูลมที่จะไปลังกาทวีปได้ สมณทูตทั้งนั้นจึงต้องพักที่นครศรีธรรมราชเป็นเวลา 11 เดือน
ส่วนพระลังกาที่อยู่ในกรุงเทพฯ 3 รูป พอทราบว่าสมณทูตทั้งหมดยังอยู่ที่นครศรีธรรมราช จึงขอพระบรมราชานุญาตเดินทางไปสมทบเพื่อไปลังกา ทั้ง 3 รูป นั้นคือ พระวลิตรและพระศาสนวงศ์ เมื่อไปถึงนครศรีธรรมราช พระวลิตรไปเจอกับพระรัตนปาละและพระหิธายะ (ทั้ง 2 นี้บวชที่กรุงเทพฯ) ประพฤติไม่เรียบร้อย เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจึงส่งไปอยู่เกาะหมากไม่ให้รวมกับสมณทูตเกรงว่าจะเสื่อมเสีย คงให้พระศาสนวงศ์รูปเดียวตามสมณทูตไปด้วย แต่ขึ้นฝั่งที่อินเดียแล้วพระศาสนวงศ์ก็หายตัวไป
พระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 2 เล่าต่อว่าสมณทูตทั้งหมดออกจากนครศรีธรรมราชไปลงเรือที่เมืองตรัง เรือออกเมื่อวันที่ 11 มี.ค.2358 เป็นเรือบรรทุกช้างไปขายที่ประเทศอินเดีย ทั้งนี้เจ้าพระยานครมีหนังสือฝากฝังไปกับสังฆนาเสน นายห้างพราหมณ์ ณ เมืองบำบุดบำดัด ที่ชอบพอกันเพราะขายซื้อช้างมาด้วยกัน (บำบุดบำดัด เข้าใจว่าอยู่ที่เบงกอล ข้างเหนือเมืองมัทราส)
เมื่อสังฆนาเสนทราบเรื่อง จึงให้การรับรองอย่างดี และเป็นธุระจ้างคณะนำทางไปลังกา แต่กว่าจะเดินทางได้ต้องคอยอยู่อีก 1 เดือน โดยได้นายบลิมที่เคยมาขายของในเมืองไทยได้เป็นล่ามและนำทาง คิดค่าจ้าง 180 รูปี เดินทางจากบำบุดบำดัดวันที่ 18 เม.ย. 2359 ใช้เวลา 76 วันจึงถึงท่าข้ามไปเกาะลังกา นั่งเรือ 1 วัน จึงถึงเกาะลังกา ขึ้นจากท่าเรือเดินทางอีก 3 วัน จึงเข้าเมืองอนุราธบุรี (ถึงวันที่ 9 ก.ค. 2359 พักที่เมืองนี้ 3 วัน กุมารสิยูม ซึ่งเป็นใหญ่ ณ เมืองนั้น หาคนนำทางส่งต่อไปเมืองสิงขัณฑสิริวัฒนบุรี ใช้เวลา 16 วันถึงวาลุกาคาม ขุนนางเมืองสิงขัณฑสิริวัฒนบุรี ทราบว่าคณะสมณทูตไทยมาถึงจึงบอกชาวบ้านมาต้อนรับ และแห่เข้าไปเมืองสิงขัณฆสิริวัฒนบุรี นิมนต์ให้พักที่วัดบุบผาราม วัดนี้เป็นวัดที่พระอุบาลี จากอยุธยาไปอยู่และผูกพัทธสีมา (สมัยพระเจ้าบรมโกศ)
ขณะนั้นอังกฤษได้เมืองลังกา จึงต้องการแสดงให้เห็นว่าชาวอังกฤษไม่เบียดเบียนศาสนา พระสงฆ์ลังกาได้รับการทำนุบำรุงอย่างไรสมัยเมื่อมีกษัตริย์ปกครอง ก็ให้ได้รับอย่างนั้น ซึ่งทำให้สมณทูตได้รับอานิสงส์ไปด้วย
ฝ่ายสังฆนายกลังกา รวมทั้งอนุสังฆนายกลังกา พาสมณทูตไทย ไปพบเจ้าเมืองอังกฤษและขอกุญแจไขพระธาตุมณเฑียร อัญเชิญพระทันตธาตุมาให้สมณทูตบูชา และพาไปบูชาพุทธบาทบนยอดเขาสุมนกุฎ ด้วย
สมณทูตอยู่ในเกาะลังกาเป็นเวลา 12 เดือน จึงกลับประเทศไทยพร้อมกับสมณสาส์นจากสังฆนายก อนุนายกลังกา เพื่อถวายสังฆราชไทย
ในการนี้ได้มอบพระเจดีย์แก้วผลึกบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 5 องค์ พระพุทธรูปกาไหล่ทองคำ หน้าตัก 5 นิ้ว จำนวน 1 องค์ ฉลองพระเนตร 1 อัน เพื่อถวายพระเจ้าแผ่นดิน
จัดพระเจดีย์กาไหล่ทองสูง 22 นิ้ว บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 3 องค์ แว่นตาศิลา ถวายสังฆราชสมณทูต นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์มา 6 หน่อ เดินทางจากเกาะลังกามาอินเดีย สังฆนาเสน จัดเรือมาส่งที่เกาะหมาก พักที่นั่น 4 เดือน เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ทราบเรื่องจึงสั่งเรือใบรับกลับถึงกรุงเทพฯ พ.ศ. 2361
ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นที่ปลูกและโตในกรุงเทพฯ เรียกว่า โพธิ์ลังกา คือที่วัดมหาธาตุ วัดสระเกศ และที่วัดสุทัศน์ต้นหนึ่ง ทั้งหมดเรียกโพธิ์ลังกา ส่วนพระสงฆ์ที่เหลือได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์ทุกรูป n


