posttoday

มวลชนแบบไทยๆ

19 พฤษภาคม 2556

นักปราชญ์กรีกเมื่อกว่า 2,000 ปี อย่างอริสโตเติลเคยกล่าวว่า การปกครองโดยม็อบหรือคนหมู่มากที่บ้าคลั่ง คือการปกครองที่เลวที่สุด เพราะเป็นการปกครองที่ไร้เหตุผลและเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยากแก่การควบคุม

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

นักปราชญ์กรีกเมื่อกว่า 2,000 ปี อย่างอริสโตเติลเคยกล่าวว่า การปกครองโดยม็อบหรือคนหมู่มากที่บ้าคลั่ง คือการปกครองที่เลวที่สุด เพราะเป็นการปกครองที่ไร้เหตุผลและเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยากแก่การควบคุม ซึ่งประเทศไทยก็อยู่ในภาวะทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง

ผู้เขียนเติบโตมาในยุค 14 ต.ค. 2516 อันเป็นยุคที่ผู้คนบ้าคลั่งในความเป็นประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง คือหลังจากที่นักศึกษาและประชาชนยึดอำนาจจากทหารได้แล้ว ก็ใช้เสรีภาพกันอย่างฟุ่มเฟือย นักเรียนมัธยมในวัยของผู้เขียนหลายโรงเรียนประท้วงครูบาอาจารย์หาว่าเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ครูไม่ให้ไว้ผมยาว ก็ถูกนักเรียนปิดห้องปิดประตูประท้วง ทหารที่เป็นครูฝึกไม่กล้ามาสอนวิชารักษาดินแดนเพราะถูกนักเรียนแอบทำร้ายรังแก มีการเผาหนังสือวรรณคดีหาว่าเป็นสิ่งมอมเมา และวิชาประวัติศาสตร์ไทยถูกประณามว่าเป็นวิชาที่เชิดชูศักดินา ฯลฯ

มีการเดินขบวนขับไล่สหรัฐอเมริกา ใครมีแนวคิดเอียงซ้ายถือว่าโก้เก๋ทันสมัย นักศึกษาในมหาวิทยาลัยต้องแต่งเครื่องแบบ 5 ย. คือ ไว้ผมยาว ใส่เสื้อยืด นุ่งกางเกงยีนส์ สะพายย่าม และสวมร้องเท้ายาง (แตะ) หนังสือที่ขายดีที่สุด คือ “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” เล่มสีแดงขนาดฝ่ามือ เพลงที่ขายดี คือเพลงของวงกรรมาชนและคาราวาน นิสิตนักศึกษาขึ้นรถเมล์ไม่เสียตังค์เพราะถือเป็นวีรบุรุษ ใครที่เอาพ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่มาวิจารณ์ได้ถือว่าเป็นผู้นำแห่งยุคสมัย ฯลฯ

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในช่วงสมัยนั้น ได้ตำหนิความบ้าคลั่งดังกล่าวว่า ปัญญาชนของเราใช้เสรีภาพไม่เป็น ทั้งยังได้ทำนายว่าความคลั่งเสรีภาพเช่นนี้แหละจะทำลายขบวนการนักศึกษาปัญญาชนในที่สุด ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะในวันที่ 6 ต.ค. 2519 ทหารที่สร้างภาพมาอย่างต่อเนื่องว่านักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ ก็เข้าปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กวาดต้อนนักศึกษาให้ถอดเสื้อผ้าไล่ขึ้นรถไปเข้าห้องขังเป็นพันๆ คน ใครที่แตกแถวหนีออกมาก็ถูกประชาชนฝ่ายขวาที่บ้าคลั่งทุบตีถีบแทง กระทั่งจับแขวนคอบนต้นมะขามริมสนามหลวง และนั่งยางรถยนต์เผาไฟกันสดๆ ตอนนั้นผู้เขียนอยู่ปี 1 ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยังติดรถรุ่นพี่ไปดูซากเหตุการณ์ในตอนเย็นวันนั้น เพราะมีเพื่อนติดร่างแหไปหลายคน

ทำไมมวลชนในครั้งนั้นจึงพ่ายยับในอีกไม่กี่ปีต่อมา ทั้งๆ ที่มวลชนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัญญาชนคนมีความรู้สูงๆ อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย หรือที่เป็นประชาชนก็เป็นคนชั้นกลางที่น่าจะมีสติปัญญาดีกว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่เป็นชาวรากหญ้าระดับล่าง

คำตอบนั้นสะท้อนภาพมวลชนแบบไทยๆ ได้อย่างชัดเจน เพราะต่อมาแม้จะเป็นม็อบของชาวรากหญ้า คนชายขอบแผ่นดิน การเริ่มต้นและการสิ้นสุดของม็อบดังกล่าวนั้นก็มีวัฏฏะเป็นไปคล้ายๆ กัน คือเริ่มต้นแบบแม่ยกปลื้มพระเอกลิเก แล้วจบลงแบบนางร้ายริษยานางเอก

หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค. 2516 สงบลง ขบวนการนักศึกษาปัญญาชนก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ส่วนหนึ่งถูกสังคมเชิดชูว่าเป็นฮีโร่วีรบุรุษ วีรสตรี หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวสรรเสริญ ผู้คนห้อมล้อมชื่นชม อีกส่วนหนึ่งถูกลืม ที่เคยชื่นชมกันเองบนเวทีปราศรัยก็ถูกดาวดังทั้งหลายละลืม ที่เคยร่วมแรงต่อสู้กันมาก็เนรคุณลืมกันเสียสิ้น จากนั้นก็มีการออกข่าวว่ามีการโกงเงินที่ประชาชนบริจาคมาให้ โดยที่มีฮีโร่บางคน “อม” หรือเอาเข้าพกเข้าห่อของตัวเอง บ้างก็ว่าเอาเงินเหล่านั้นไปเรียนหนังสือเมืองนอก บ้างก็ว่าเอาไปซื้อไร่ซื้อนาเป็นแลนด์ลอร์ดเสียเอง

คนที่หัวโบราณหน่อยก็บอกว่า นี่มัน “จัญไรกินกบาล” เพราะนิสิตนักศึกษาเหล่านี้ไม่เคารพพ่อแม่และครูบาอาจารย์ ด่าทอผู้หลักผู้ใหญ่และลบหลู่สถาบันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในบ้านเมือง คนพวกนี้ทำอะไรก็ไม่เจริญ และยิ่งต่อมาปรากฏว่าคนเหล่านี้ต้องเข้าป่าหนีภัยอำนาจรัฐ กระทั่งระเห็จออกจากประเทศ ก็ถูกถากถางว่า “ฉันว่าแล้วไอ้พวกนี้ต้องไม่มีแผ่นดินจะอยู่”

อันที่จริงถ้าเราจะมองอะไรให้ลึกลงไปอีกสักนิด ก็จะพบว่ามวลชนในประเทศไทยไม่เคยประสบชัยชนะเลยแม้สักครั้งเดียว ที่ว่าวันที่ 14 ต.ค. เป็นชัยชนะของนักศึกษาปัญญาชนนั้นก็ไม่ใช่ เพราะมันเป็นแต่เพียงพลังความเบื่อทหารและระบบราชการได้พัดมาอย่างแรง โดยพัดเอาความบ้าเสรีภาพของนิสิต นักศึกษา มากลบขยะเผด็จการไว้ชั่วคราว แล้วก็ยังพัดเอาพวกนักการเมืองที่บ้าอำนาจมาเหยียบหลังปัญญาชนอีกที เพื่อเก็บเกี่ยวเอาเมล็ดแห่งประชาธิปไตยไปกินกันอย่างตะกรุมตะกราม ก่อนที่จะถ่ายคูถอันอุจาดบนหลังคนเหล่านี้ไว้ให้คนไทยดูต่างหน้า

แม้กระทั่งการต่อสู้กับเผด็จการทหารอีกครั้งหนึ่งในเดือน พ.ค. 2535 ที่ว่าเป็นชัยชนะของชนชั้นกลาง “ม็อบมือถือ” ก็เป็นเพียงภาพลวงตาของการเบื่อนักการเมืองและทหารเลวๆ ที่สมคบกันจะครองอำนาจไปชั่วดินฟ้า ความเบื่อนี้เป็นพลังชั่วคราวเหมือนกับเมื่อครั้ง 14 ต.ค. 2516 เพราะเมื่อพลังหลัก คือความหวงอำนาจของชนชั้นนำทั้งฝ่ายอำมาตย์และนักการเมืองโงหัวขึ้นได้ ก็ร่วมกันครอบงำสังคมไทยเช่นเดิม อย่างที่พยายามจะสถาปนาอำนาจร่วมกันในระหว่างปี 25442548 แต่เมื่อเกิดขัดกันในผลประโยชน์ก็ขับมวลชนของแต่ละฝ่ายออกมาสู้ ทว่าฝ่ายพลังอำมาตย์ได้ช่วงชิงความได้เปรียบโดยทำการยึดอำนาจเสียในวันที่ 19 ก.ย. 2549 เช่นเดียวกันกับความวุ่นวายในช่วงปี 2552–2553 ก็เป็นการประลองกำลังของทั้งสองฝ่ายนั้นเช่นเคย

ถ้าจะให้สังเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับมวลชนในประเทศไทย น่าจะสรุปได้สัก 3 ลักษณะเด่นๆ ดังนี้

หนึ่ง มวลชนไทยมีลักษณะการเกิดขึ้นอย่างวูบวาบหวือหวา แบบลมเพลมพัด โอนเอนไปตามกระแส (ที่มีขบวนการหรือมีแกนนำมวลชนสร้างขึ้น) มีลักษณะมาเร็วเคลมเร็ว ไม่จีรังยั่งยืน ในทางสังคมวิทยาเรียกกลุ่มแบบนี้ว่า “ไทยมุง” หรือกลุ่มฮือฮาเฉพาะยามที่มีเหตุต่างๆ

สอง มวลชนไทยมักถูกใช้หรือถูกอ้างเป็นเครื่องมือเพื่อการเก็บเกี่ยวอำนาจของพวกชนชั้นนำ แล้วมอบให้เขาไปหาผลประโยชน์เสพสุขกันต่างๆ เหมือนตะกร้อที่ใช้สอยมะม่วงก็ไม่เคยได้ลิ้มรสมะม่วงฉันนั้น หรือพรมเช็ดเท้าหน้าสถานบริการที่ผู้มีอำนาจย่ำเข้าจัดปาร์ตี้อยู่ข้างใน

และสาม ทุกครั้งเหมือนว่ามวลชนจะมารวมกันด้วยอุดมการณ์ แต่เมื่อถูกผู้มีอำนาจผู้ฉวยโอกาสเหล่านั้นเอาลาภยศต่างๆ เข้าล่อ ท้ายที่สุดมวลชนก็พังทลายลงด้วย “แรงริษยา” หันมาทำร้ายทำลายกันเอง ที่สุดมวลชนที่เคยมีพลังที่ยิ่งใหญ่ก็แตกละลายหมดพลังไปในเวลาไม่นาน

ที่เขียนมาก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์ (ที่ไม่ได้แปลว่าไปสาวไส้ประเทศของตัวเอง) ให้บรรดามวลชนที่กำลังคลั่งประชาธิปไตยในเวลานี้ได้ตื่นขึ้นมาจากการมอมเมาจากนักการเมืองที่บ้าอำนาจ ว่าแท้จริงแล้วเขามองมวลชนอย่างพวกท่านทั้งหลายเป็นอย่างไร อะไร แค่ไหน

ก่อนจบขอยกตัวอย่างเรื่องจริงที่ผู้เขียนได้รับรู้มาด้วยตนเองจากมวลชนคนเสื้อแดงที่เป็นแม่ค้าอยู่ในซอยแถวบ้าน เพราะวันหนึ่งไปซื้อของกับมวลชนคนนี้ จึงถามว่าหายไปไหนหลายวัน (กว่าครึ่งเดือน) เธอตอบว่า ไปร่วมม็อบที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนก็ถามเล่นๆ ว่าสนุกไหม เธอก็ตอบอย่างโมโหว่า สนุกกับผีอะไร แมร่ง (ขออภัย) หลอกว่าจะมีคนเป็นหมื่นคนจะทยอยมาร่วมเรื่อยๆ วันสุดท้ายแมร่งบอกว่าจะมาเป็นแสนแล้วไง ของก็ไม่ได้ขาย เงินที่เอาไปก็หมด

โถแดงอุดมการณ์ก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละเจ๊

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ