posttoday

ปรากฏการณ์แมลงวันแมลงหวี่

12 พฤษภาคม 2556

และแล้วม็อบไล่ศาลรัฐธรรมนูญก็ปิดฉากลงเมื่อกลางดึกของวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่แกนนำม็อบก็ยังประกาศว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ

และแล้วม็อบไล่ศาลรัฐธรรมนูญก็ปิดฉากลงเมื่อกลางดึกของวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่แกนนำม็อบก็ยังประกาศว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะนี่เป็นเพียงขั้นแรกของแผนบันได 3 ขั้น ที่จะสิ้นสุดลงได้ด้วยการจากไปของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะนี้เพียงสถานเดียว

ขั้นที่ 2 ของแผนการนี้ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค.เป็นต้นไป ก็คือการประกาศแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปทั่วประเทศในข้อหากบฏและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมกันนั้นก็จะออกล่ารายชื่อผู้คนให้ได้ 1 ล้านคน เพื่อเสนอถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว อันเป็นบันไดขั้นที่ 3 สุดท้าย ที่กลุ่มแกนนำประกาศว่าจะรีบดำเนินการโดยเร็ว

ท่านผู้อ่านที่สนใจปัญหาบ้านเมืองน่าจะมองเห็นบรรยากาศเช่นนี้ว่า “ช่างน่ารำคาญเสียจริง” ซึ่งสื่อมวลชนรุ่นโบราณท่านเรียกบรรยากาศอย่างนี้ว่า “ปรากฏการณ์แมลงวันแมลงหวี่” โดยมีการถกแถลงกันอย่างเอิกเกริกที่บ้านสวนพลู ระหว่างมื้อค่ำในคืนวันหนึ่งที่คลาคล่ำไปด้วยลูกศิษย์ลูกหาที่ใต้ถุนบ้านสวนพลูนั้น ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิดน่าจะเป็นช่วง พ.ศ. 25252526 ที่พรรคร่วมรัฐบาลคือ พรรคกิจสังคมกับพรรคประชาธิปัตย์กำลังระหองระแหงกัน ด้วยการแย่งชิงความรักจากป๋า คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้เป็นหัวหน้ารัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี

ในคืนนั้น นักหนังสือพิมพ์อาวุโสผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐที่บัดนี้ล่วงลับไปแล้วได้เล่านิทานเรื่อง “พี่แมลงวันกับน้องแมลงหวี่” ให้ที่ชุมนุมฟัง มีเรื่องย่อๆ ว่า แมลงวันกับแมลงหวี่เป็นเพื่อนกัน มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา แต่ว่าวันหนึ่งแมลงหวี่ไม่ได้ไปด้วย ตกค่ำแมลงวันกลับมา แมลงหวี่ก็ถามแมลงวันว่าไปไหนมา แมลงวันก็เล่าความโดยละเอียดถึงการไปไต่ตอมช้างพังนางหนึ่ง โดยได้พรรณนาถึงรูปพรรณสัณฐานและอวัยวะทุกส่วนอย่างลึกซึ้ง ครั้นถึงอวัยวะสำคัญแมลงหวี่ก็ร้องขึ้นบอกว่า “ยู้ด...พี่แมลงวันหยุดเล่าเถอะ” แมลงวันจึงถามว่า “ทำไมล่ะ” แมลงหวี่กระซิบตอบอย่างอายๆ ว่า “ฉันมีอารมณ์” (ตะแลมๆๆ...)

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เจ้าของบ้านชอบเรื่องนี้มาก และเมื่อบ้านเมืองมีเหตุที่น่ารำคาญใจ ท่านก็จะเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาคลายเครียดอยู่บ่อยๆ โดยขยายความถึงคติของเรื่องนี้ว่า ในบ้านเมืองของเรานั้นมีพวกที่อยู่ไม่สุขอยู่มาก บ่อยครั้งที่คนเหล่านี้ชอบที่จะสร้างความวุ่นวายต่างๆ เพียงเพื่อสนองตัณหาหรือ “ความมันส์” ของตนเอง ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเหลวไหลไร้สาระ โดยเปรียบคนเหล่านี้ว่าเป็นคนไม่มีความสำคัญอะไรในสังคมมากนัก ก็จะคล้ายกับแมลงวันแมลงหวี่ แต่เวลาที่คนพวกนี้ไปทำอะไรก็คิดเหิมเกริมนึกว่าตนเองใหญ่โต และอวดอ้างว่าเรื่องที่ตนเองทำไปนั้นใหญ่โตหรือสำคัญเสียเต็มประดา

แน่นอนว่า หลายท่านเมื่ออยู่ในบรรยากาศอย่างนี้ก็คงต้อง “มีอารมณ์” ไปด้วย ซึ่งก็เป็นอารมณ์ตั้งแต่หงุดหงิดน่ารำคาญ ไปจนถึงอึดอัดจะบ้าตาย ไม่รู้ว่าจะเอากันไปถึงไหนและจะจบลงอย่างไร วิธีการจัดการกับอารมณ์อย่างนี้ก็มีอยู่หลายวิธี เช่น เห็นเป็นเรื่องตลกขบขันไปเสียอย่างที่เขาทำกันในบ้านสวนพลู หรือเข้าไปแสดงความรู้สึกคัดค้านอย่างที่หลายคนในเวลานี้แสดงอยู่ในสื่อและโซเชียลมีเดีย รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายถ้าเห็นว่าคนเหล่านี้ละเมิดสิทธิของพวกเรา เป็นต้นว่าส่งเสียงดัง หรือทำให้จราจรติดขัด ฯลฯ

ในมุมมองทางรัฐศาสตร์ อย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนๆ ว่า ความวุ่นวายนั้นเป็น “ปกติ” หรือธรรมชาติของการเมือง (ที่จริงคือเป็นธรรมชาติของสังคม เพราะสังคมคือสถานที่อันประกอบเข้าด้วยกันของคนประเภทต่างๆ ที่หลากความคิด หลากความปรารถนา และหลากพฤติกรรม ซึ่งการเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม) มีพลวัต (Dynamics) คือต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ในรูปแบบที่ไม่เป็นระเบียบหรือเต็มไปด้วยด้วยความวุ่นวายสับสน อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า Chaos ซึ่งวิชารัฐศาสตร์มีความเป็นไปอย่างนี้ เป็นทฤษฎีหนึ่งว่า Chaos Theory

ลำพังการเมืองแม้เราจะไม่ได้จัดการหรือสร้างขึ้น มันก็มีความวุ่นวายสับสนไร้ระเบียบอยู่แล้วตาม Chaos Theory ดังกล่าว แต่เมื่อมีผู้สร้างขึ้นหรือพยายามเข้าไปจัดการให้มีความวุ่นวายเกิดขึ้นมา มันก็จะยิ่งเพิ่มความสับสนที่บางครั้งก็ดูน่ากลัวว่าจะเป็นอันตรายหรือนำมาซึ่งความหายนะต่างๆ มากยิ่งขึ้น ว่ากันว่า ทฤษฎี Chaos นี้เชื่อมโยงมาจากทฤษฎีเกี่ยวกับอะตอมในวิชาฟิสิกส์ ที่กล่าวว่าอะตอมของธาตุโลหะบางอย่าง (ซึ่งก็คือธาตุที่นำมาทำระเบิดปรมาณู) เมื่อไปกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ก็จะแตกตัวอย่างมหาศาล กลายเป็นพลังที่ทำลายล้างอย่างรุนแรง

เมืองไทยในเวลานี้ก็อยู่ในสภาพนั้น คือมีคนบางกลุ่มพยายามที่จะสร้างความวุ่นวายร้ายแรงขึ้นในบ้านเมือง แต่ที่แปลกก็คือแทนที่จะเป็นการก่อความวุ่นวายที่มีเป้าหมายเพื่อล้มรัฐบาล กลับเป็นความวุ่นวายเพื่อทำลายศัตรูของรัฐบาล อย่างเช่นความพยายามที่จะล้มล้างศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ซึ่งก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลก็อยู่ในภาวะอิหลักอิเหลื่อ ใจหนึ่งก็อยากตามใจมวลชนคนกันเองที่มาทำงานสนับสนุนความอยู่รอดของรัฐบาล แต่อีกใจหนึ่งก็เกรงว่าความวุ่นวายที่มวลชนคนพวกเดียวกันก่อขึ้นนี่แหละจะมาทำลายให้รัฐบาลล้มลงได้

รัฐบาลก็อยู่ในภาวะเดียวกันกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ คือหงุดหงิดรำคาญบรรดาความวุ่นวายของแมลงวันแมลงหวี่เหล่านั้นอยู่ไม่น้อย แต่ก็อยู่ในฐานะที่จัดการอะไรไม่ได้ เพราะคนที่เพาะปรสิต (แปลว่าสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น) เหล่านั้นก็คือคนกันเอง ทั้งยังมีอำนาจมหาศาล เป็นเจ้าของรัฐบาลและพี่น้องร่วมไส้กับผู้นำรัฐบาลอีกด้วย ดังนั้นรัฐบาลก็คงจะได้แค่หากองปฏิกูลต่างๆ มาหลอกล่อให้แมลงเหล่านี้หมุนวนบินตอมจนปวดหัวไปก่อน นั่นก็คือเล่นตามน้ำ สร้างสถานการณ์หรือก่อกระแสต่างๆ ให้คนเหล่านี้มีงานทำ

ด้วยเหตุนี้เราจึงคาดเดาได้ว่า ความรำคาญทางการเมืองจะยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการประคับประคองดูแลเป็นอย่างดีจากรัฐบาล ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องพยายามประคับประคองเอาตัวรอดให้ได้ เราอาจจะเห็นการหลบเลี่ยงเบี่ยงเบนของรัฐบาลแบบ “ไผ่ลู่ลม” คือแรงมาแต่ไม่แรงตอบ น้อมตัวให้สถานการณ์เลื่อนไหลเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ในส่วนภายในรัฐบาลก็มีการปรับ ครม.เป็นเครื่องหลอกล่อ ภายใต้มาตรการ “สมบัติผลัดกันชม” จนกว่าจะครบเทอม และเมื่อถึงคราวเลือกตั้งครั้งใหม่ก็ค่อยหลอกล่อด้วย “น้ำเลี้ยง” เพื่อมัดใจไม่ให้เอาใจออกห่าง

ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าบรรดาแมลง เอ๊ย มวลชนทั้งหลายจะตระหนักรับรู้ในทำนองนี้หรือไม่ ว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลกับนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจไม่ได้มีความจริงใจกับพวกท่านแต่อย่างใดเลย แต่เมื่อพวกท่านอยากจะทำงานสนับสนุนรัฐบาลก็ทำไปตามสบาย โดยไม่อาจรับรองได้ว่าจะช่วยเหลือให้ท่านรอดจากคดีความต่างๆ ได้หรือไม่ (เพราะรัฐบาลและนักการเมืองเหล่านั้นก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวรอดจากหลายคดีๆ ที่กำลังรุมเร้าอยู่นี้ได้หรือไม่เช่นกัน)

คนที่เรียนรู้และเข้าใจในทฤษฎีอำนาจจะต้องทราบดีว่า “อำนาจในระบบหรืออำนาจที่เป็นทางการย่อมแข็งแกร่งและมั่นคงกว่าอำนาจนอกระบบหรืออำนาจที่ไม่มีกฎหมายรองรับ” นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลและนักการเมืองที่อยู่ในตำแหน่งต่างๆ จึงต้องรักษาตำแหน่งของตนไว้อย่างถึงที่สุด ดังนั้นคนที่ฉลาดแล้วก็จะเชื่อว่า “พลังแมลงวันแมลงหวี่” ไม่มีวันที่จะเอาชนะ “พลังตามรัฐธรรมนูญ” ไปได้ ขนาด “พลังช้างสาร” อย่างใครบางคนก็ทำอะไร “พลังอำมาตย์” ไม่ได้

แมลงทั้งหลายจงจำใส่กะโหลกเป็น “อุทาหรณ์”!

ข่าวล่าสุด

สวนดุสิตโพล เปิด 5 อันดับ “นักการเมือง” ประชาชนเชียร์นั่งนายกฯ