พระมหากัสสปะ
พระมหากัสสปเถระเป็นพระผู้ใหญ่ในบรรดาพระอสีติสาวก และมีบทบาท
โดย...อ.ตุ้ย วรธรรม
พระมหากัสสปเถระเป็นพระผู้ใหญ่ในบรรดาพระอสีติสาวก และมีบทบาทในคณะสงฆ์ครั้งสำคัญที่สุด หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วไม่ถึง 3 เดือน ก็คือ เป็นผู้นำในการทำสังคายนาธรรมวินัยครั้งแรก
ได้ยินว่าชีวิตของท่านก่อนบวชมีเรื่องราวให้ต้องพูดถึงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตอนแต่งงานกับภัททกาปิลานี (ที่ต่อมาบวชเป็นภิกษุณี) เมื่อบวชแล้วก็ชอบอยู่ป่าจนคนเรียกว่า พระป่า และเป็นพระที่ชอบธุดงค์
ชื่อเดิมของท่านคือ “ปิปผลิ” แต่คนมักเรียกชื่อท่านตามโคตร (กัสสปโคตร) ว่า “กัสสปะ” เกิดที่หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อมหาติฏฐะ ในเมืองราชคฤห์
เมื่อโตเป็นหนุ่มพ่อแม่ให้แต่งงานป้องกันสกุลขาดสูญ แต่ท่านไม่ปรารถนาจะมีภรรยา เมื่อถูกรบเร้าทุกวันจึงขอพ่อแม่ให้หล่อรูปหญิงคนหนึ่งขึ้นมาด้วยทองคำบริสุทธิ์ และถ้ามีหญิงเหมือนรูปหล่อนี้จะยอมแต่งกับหญิงนั้น พ่อแม่ยินดีทำให้
ปรากฏว่ารูปที่ช่างทองหล่อขึ้นมามีรูปร่างหน้าตาเหมือนภัททกาปิลานี หญิงงามแห่งเมืองสาคละมาก จนแม่นมของเธอเมื่อเห็นรูปหล่อนี้เข้าถึงกับเชื่อว่าเป็นภัททกาปิลานีตัวเป็นๆ ถึงกับเอ่ยปากพูดกับรูปหล่อว่า “แม่ภัททกาปิลานี ฉันบอกให้แม่อยู่ในบ้าน ไม่ให้ออกมาข้างนอก แล้วนี่ออกมาทำไม ฮึ!” ว่าแล้วก็สัมผัสจับต้อง แต่ก็ต้องตะลึงงันเพราะเป็นรูปหล่อ
ปิปผลิจึงแต่งกับภัททกาปิลานีตามที่ให้คำมั่นไว้กับพ่อแม่ กระนั้นเมื่อใกล้วันแต่งได้แอบเขียนจดหมายบอกเล่าความในใจและความประสงค์ของตนส่งถึงภัททกาปิลานี ขณะที่ภัททกาปิลานีก็เขียนจดหมายบอกเล่าความในใจและความประสงค์ของตนส่งถึงปิปผลิเช่นกัน
ไม่น่าเชื่อว่าความในใจและประสงค์ของทั้งคู่เหมือนกัน ทั้งสองไม่อยากแต่ง และไม่ประสงค์จะใช้ชีวิตฆราวาส แต่ต้องการออกบวช ทว่าเนื้อหาจดหมายถูกเปลี่ยนระหว่างทางเป็นว่าทั้งสองอยากแต่ง การแต่งงานจึงเกิดขึ้นในที่สุด
แต่เมื่อแต่งแล้วทั้งคู่ก็ไม่เคยร่วมสังวาสหรือมีอะไรกันฉันภรรยาสามี จนวันหนึ่งเมื่อพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายสิ้น ทั้งคู่จึงเปิดอกเผยความในใจและความประสงค์ของตน
เมื่อทั้งสองมีเป้าหมายเดียวกันคือการออกบวช จึงได้มอบสมบัติให้ญาติๆ ไปบริหารจัดการก่อนจะแยกทางกันไป ด้านภัททกาปิลานีบวชเป็นปริพาชิกา (นักบวชนอกพุทธศาสนา) ก่อนที่ต่อมาจะบวชเป็นภิกษุณีในสำนักพระมหาปชาบดี
ขณะที่ปิปผลิบวชในสำนักพระพุทธเจ้าที่โคนต้นพหุปุตตนิโครธหว่างราชคฤห์กับเมืองนาลันทา ด้วยการรับพระโอวาท 3 ข้อจากพระพุทธเจ้า
สามข้อ คือ หนึ่ง จักเข้าไปตั้งความละอายและความเกรงใจในภิกษุเถระ ปานกลาง และบวชใหม่ สอง ธรรมใดเป็นกุศลจักเงี่ยโสตลงฟังธรรมและพิจารณาเนื้อความของธรรมนั้น และสาม จักไม่ทิ้งกายคตาสติ คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์อยู่เสมอ
เมื่อบวชแล้วท่านได้ถวายผ้าสังฆาฏิของตนแลกกับจีวรเก่าของพระพุทธเจ้า จากนั้นก็สมาทานธุดงค์ พอล่วงไป 7 วันก็ได้บรรลุพระอรหันต์ และได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระที่มีปฏิปทามักน้อย สันโดษ และถือธุดงค์
โดยในการถือธุดงค์นั้น ท่านได้รับเอตทัคคะจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ทรงธุดงค์ด้วย โดยธุดงค์ที่ท่านถือตลอดชีวิต คือ ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร และอยู่ป่าเป็นวัตร
เกี่ยวกับงานพระศาสนาของท่านที่ต้องจารึกเป็นประวัติศาสตร์ก็คือ ท่านได้เป็นผู้นำในการทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ 1 โดยปรารภเหตุที่ท่านได้เห็นพระแก่รูปหนึ่งชื่อ “สุภัททะ” บวชมิทันไรก็กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัย
คำจาบจ้วงของสุภัททะ คือ พอทราบว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานใหม่ๆ ก็ได้แสดงความยินดีปรีดาว่าเมื่อสิ้นพระศาสดาเสียแล้วจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีคนคอยตำหนิ ติเตียน ห้ามปราม
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมองถึงความมั่นคงตั้งมั่นแห่งพระธรรมวินัยที่เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าในอนาคต จึงประชุมทำสังคายนา (ประชุมตรวจชำระสอบทานและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าวางลงเป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียว) ครั้งที่ 1 ขึ้น มีพระอรหันต์ 500 รูป โดยมีท่านเป็นประธานและเป็นผู้ถาม มีพระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์วิสัชนาพระธรรม กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภารบรรพต เมืองราชคฤห์ เมื่อหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 3 เดือน ได้รับการอุปถัมภ์จากพระเจ้าอชาตศัตรู ใช้เวลา 7 เดือนจึงเสร็จ
คุณูปการของท่านต่อพระศาสนาถือว่ายิ่งยวด หากไม่มีการสังคายนาโดยการนำของท่าน ก็จะไม่มีการสังคายนาครั้งต่อๆ มา แล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าก็คงไม่ได้รับการจัดเป็นหมวดหมู่ง่ายต่อการศึกษาดังเช่นในปัจจุบัน


