posttoday

การให้ผลของบุญกุศล

14 เมษายน 2556

สวัสดีท่านผู้อ่านที่เคารพ การทำความดีนั้นมีหลายอย่างด้วยกัน บางคนทำดีคิดว่า

สวัสดีท่านผู้อ่านที่เคารพ การทำความดีนั้นมีหลายอย่างด้วยกัน บางคนทำดีคิดว่าทำไมผลจึงไม่ได้ดี บางคนทำนิดหน่อยได้ผลดี วันนี้ MQ ขอนำเรื่องกุศลชั้นสูงกับกุศลชั้นต่ำมาคุยกัน เผื่อว่าเวลาที่เราทำบุญทำกุศล จะได้นำมาสำรวจจิตใจของตนเองว่า กุศลของเรานั้นเป็นเช่นไร นอกจากจะเป็นกุศลชั้นสูง หรือกุศลชั้นต่ำ ก็ยังมีการกระทำกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาและไม่ประกอบด้วยปัญญา ลองศึกษากันดูก่อน แม้ชื่อจะเป็นภาษาบาลี แต่ก็เข้าใจได้ และเมื่อทราบแล้วจะได้พยายามทำกุศลให้พรั่งพร้อมไพบูลย์กันต่อไป

ก่อนอื่นมาแบ่งชนิดในการทำกุศลกันก่อน ดังนี้

ติเหตุกกุศล ชนิดอุกกัฏฐะ คือ ติเหตุกกุศล* ชั้นสูง

ติเหตุกกุศล ชนิดโอมกะ คือ ติเหตุกกุศล* ชั้นต่ำ

ทวิเหตุกกุศล ชนิดอุกกัฏฐะ คือ ทวิเหตุกกุศล** ชั้นสูง

ทวิเหตุกกุศล ชนิดโอมกะ คือ ทวิเหตุกกุศล** ชั้นต่ำ

* ติเหตุกกุศล คือ กุศลที่ขณะทำประกอบด้วยปัญญา

**ทวิเหตุกกุศล คือ กุศลที่ขณะทำไม่ประกอบด้วยปัญญา

กุศลชนิดอุกกัฏฐะนั้น คือ บุคคลที่บำเพ็ญกุศลต่างๆ มี ทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ก่อนที่จะกระทำก็ดี ภายหลังที่ทำเสร็จแล้วก็ดี จิตของผู้นั้นไม่มีอกุศลเข้าเจือปน มีความตั้งมั่นในการทำดี แน่วแน่ไม่ย่อท้อ ไม่ห่วงความเหนื่อยยากลำบากและไม่คิดเสียดาย มีความปลื้มใจในกุศลที่ได้ทำ เป็นต้น กุศลที่กระทำเช่นนี้ ก็จะเป็นกุศลที่มีกำลัง หากประกอบด้วยปัญญา ก็เป็น ติเหตุกกุศล (คือ ประกอบด้วย เหตุ 3 คือ อโลภะ อโทสะ และอโมหะ ซึ่งก็คือ ปัญญานั่นเอง) ชั้นสูง คือ อุกกัฏฐะ หากเป็นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา คือ ประกอบเพียง 2 เหตุ คือ อโลภะและอโทสะ (ขาดอโมหะ คือ ขาดปัญญา) ก็จะเป็นทวิเหตุกกุศลชั้นสูง คือ ประเภทอุกกัฏฐะ

กุศลชนิดโอมกะนั้น คือ บุคคลที่บำเพ็ญกุศลต่างๆ มี ทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ก่อนที่จะทำก็ดี ภายหลังที่ทำเสร็จแล้วก็ดี จิตของผู้นั้นมีอกุศลเข้าเจือปน หมายความว่า ก่อนกระทำผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจ หรือเต็มใจทำกุศล หรือทำไปด้วยความจำเป็นบางอย่างหรือทำเพื่อแข่งเอาหน้า หรือหวังประโยชน์ส่วนตนทางโลกบางอย่าง เช่นนี้ ชื่อว่าบุพพเจตนาไม่บริสุทธิ์ คือ เจตนาก่อนทำไม่บริสุทธิ์ เมื่อกระทำเสร็จแล้ว ก็มีความขุ่นข้อง จิตเศร้าหมอง ไม่เกิดปีติโสมนัส นึกถึงความเหน็ดเหนื่อยหรือเสียดาย หรือมุ่งหวังประโยชน์ทางโลกของตนต่างๆ หรือทำบุญกุศลไม่สำเร็จแล้วไปเกิดความกลัดกลุ้ม ไม่พอใจ เสียใจ เหล่านี้ชื่อว่า อปรเจตนาของผู้นั้นไม่บริสุทธิ์ กุศลที่บุคคลกระทำเช่นนี้ ย่อมเป็นกุศลชั้นต่ำ คือ โอมกะ ไม่ว่าจะทำประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา

สำหรับเจตนาก่อนทำ (บุพพเจตนา) กับเจตนาหลังทำ (อปรเจตนา) เจตนาหลังทำนับว่ามีความสำคัญมากกว่าเจตนาก่อนทำ แม้ว่าบุพพเจตนาจะไม่บริสุทธิ์ แต่อปรเจตนาบริสุทธิ์ ก็ยังจัดเป็นอุกกัฏฐกุศล หรือแม้บุพพเจตนาบริสุทธิ์ แต่อปรเจตนาไม่บริสุทธิ์ กุศลนั้นก็จัดเป็นโอมกกุศล

นอกจากนั้นยังมีความเป็นอุกกัฎฐะและโอมกะของ อปราปรเจตนา เข้ามาประกอบอีกด้วย ซึ่ง อปราปรเจตนานั้น หมายถึง กุศลเจตนาที่เกิดขึ้นหลังทำเสร็จนานแล้ว เช่น เสร็จไปแล้ว 1 วัน 1 เดือน เป็นต้นไป เหล่านี้ เรียกว่า อปราปรเจตนา คือ เจตนาเมื่อได้กระทำกุศลไปแล้วนานๆ หากผู้นั้นยังคงมีความปีติ โสมนัส มีศรัทธาเชื่อมั่นในกุศลของตน มีปัญญาเห็นประโยชน์ในกุศล เช่นนี้เรียกว่า อปราปรเจตนาเป็นกุศลชนิด อุกกัฏฐะ หากนานไปเกิดความไม่พอใจ เกิดความเสียดาย เกิดความหยิ่งลำพองเกิดทิฏฐิมานะ อย่างนี้เรียกว่า อปราปรเจตนาเป็น โอมกะ

ดังนั้น เมื่อประกอบครบ 3 กาล คือ ขณะทำ (แบ่งว่าประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา) หลังทำใหม่ๆ (แบ่งว่าเป็นกุศลชั้นสูง หรือชั้นต่ำ) และหลังทำนานแล้ว (แบ่งว่าเป็นกุศลชั้นสูง หรือชั้นต่ำ) จะแบ่งกุศลออกได้ 8 แบบ ดังนี้

1. ติเหตุกอุกกัฏฐุกกัฏฐกุศล

2. ติเหตุกอุกกัฎโฐมกกุศล

3. ติเหตุกโอมกุกกัฏฐกุศล

4. ติเหตุกโอมโกมกกุศล

5. ทวิเหตุกอุกกัฏฐุกัฏฐกุศล

6. ทวิเหตุกอุกกัฎโฐมกกุศล

7. ทวิเหตุกโอมกุกกัฏฐกุศล

8. ทวิเหตุกโอมโกมกกุศล

แน่นอนว่าการส่งผลของกุศลเหล่านี้ย่อมแตกต่างกัน เพราะเหตุต่างกันย่อมให้ผลที่ต่างกันลดหลั่นไปเป็นธรรมดา ใครๆ ก็ปรารถนาจะเกิดประกอบด้วย ติเหตุ* คือ เกิดประกอบด้วยปฏิสนธิที่ประกอบด้วยปัญญาและปรารถนาจะได้รับผลบุญอันประเสริฐในปวัตติกาล คือ ขณะที่ดำรงชีพอยู่ แต่ว่าเมื่อกุศลนำเกิด หากทำบุญประกอบด้วยปัญญา แต่เป็นบุญชั้นต่ำ ก็ก็อาจส่งผลให้เกิดไม่ประกอบด้วยปัญญาได้ หากทำบุญกุศลก็ไม่ประกอบด้วยปัญญาอยู่แล้วยิ่งเป็นบุญชั้นต่ำยิ่งให้ผลเกิดโดยไม่ประกอบด้วยเหตุ คือเกิดเป็น มนุษย์หรือเทวดาชั้นต่ำที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ คือมีความพิการแต่กำเนิด ส่วนการรับผลวิบากในปวัตติกาลคือเมื่อมีชีวิตอยู่ก็ไม่ประณีตเช่นกัน

5* การทำบุญนั้นกระทำได้โดยประกอบด้วยติเหตุและทวิเหตุ แต่การปฏิสนธิ คือ การเกิดนั้นวิปากที่จะนำเกิดได้มีถึง 3 ประเภท คือ วิปากที่ประกอบด้วยติเหตุ ทวิเหตุ และอเหตุ คือ ไม่มีเหตุประกอบเลย ผู้ที่เกิดด้วยติเหตุ จะมีปัญญาทางธรรมสามารถ ทำสมาธิ และบรรลุธรรมได้ หากบารมีบริบูรณ์และปฏิบัติถูกต้อง แต่ ผู้ที่เกิดประกอบด้วยทวิเหตุทำไม่ได้เพราะไม่มีปัญญาทางธรรมประกอบเป็นพื้นฐานของวิบากที่นำเกิด ส่วนผู้ที่เกิดโดย อเหตุนั้น ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เพราะเป็นความบกพร่องด้วยความพิการแต่กำเนิดและไม่มีแม้ปัญญาทางโลกสมบูรณ์ ด้วยบุญกุศลที่นำเกิดอ่อน n

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นอิงหลักธรรมะ ท่านสามารถส่งคำถาม หรือข้อติชม ทาง email มาได้ที่ [email protected]

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68