หมิ่นพระบรมเดชานุภาพจริงหรือ
พระบรมเดชานุภาพ (Royal Majestic) เป็นสิ่งที่มีมาพร้อมกับพระราชอำนาจ (Royal Prerogative) ซึ่งพระมหากษัตริย์ พระราชินี
พระบรมเดชานุภาพ (Royal Majestic) เป็นสิ่งที่มีมาพร้อมกับพระราชอำนาจ (Royal Prerogative) ซึ่งพระมหากษัตริย์ พระราชินี
โดย...เจษฏ์ โทณะวณิก
พระบรมเดชานุภาพ (Royal Majestic) เป็นสิ่งที่มีมาพร้อมกับพระราชอำนาจ (Royal Prerogative) ซึ่งพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือเจ้าชายที่เป็นองค์อธิปัตย์ (Sovereign) ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) หรือระบอบราชาธิปไตย (Monarchy) มีอยู่เต็มเปี่ยม
แต่พระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือเจ้าชายในระบอบประชาธิปไตย (Democracy) หรือระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) จะถือว่ามีพระบรมเดชานุภาพเยี่ยงเดียวกันนั้นหาได้ไม่ แต่พระองค์จะทรงมีพระบารมี (Royalistic) ที่ปกแผ่ทำให้ผู้คนเคารพยำเกรง
ดังนั้นหากจะว่ากันตรงไปตรงมาแล้ว ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ประมุขของรัฐที่เป็นพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือเจ้าชาย จะไม่ถือว่ามีพระบรมเดชานุภาพ การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงเกิดมีขึ้นไม่ได้ หากแต่ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขของรัฐ จึงต้องมีการคุ้มครองที่สมพระเกียรติ และพระสถานะ ดังจะเห็นได้จากมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาความว่า
“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
โทษอันนี้เป็นโทษอันเกิดจากความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย มิใช่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นที่ว่ากันจนติดปาก
โทษนี้เป็นโทษเช่นเดียวกับที่ปรากฏในเรื่องดูหมิ่น และหมิ่นประมาทต่อบุคคลทั่วไป เช่น ในมาตรา 393 ประมวลกฎหมายอาญาความว่า “ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณาต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และมาตรา 326 ของกฎหมายเดียวกันความว่า
“ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
หลายคนสงสัยว่าถ้าจะคุ้มครองประมุขของรัฐ หากเมื่อประมุขของรัฐคือ พระมหากษัตริย์ แล้วเหตุใดจึงต้องคุ้มครองพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วย
ในแง่นี้ หากเราพิจารณาถึงประมุขของรัฐโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี หรือพระมหากษัตริย์ ประเทศทั้งหลายก็ต่างมีการให้ความคุ้มครองที่เป็นพิเศษ โดยเหมาะสมสอดคล้องกับขนบ ธรรมเนียม ประเพณี หรือรากเหง้าความเป็นประเทศนั้นๆ และสภาพสังคม รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของคนโดยรวมในสังคม
นอกจากนั้น หากพิจารณาตามกฎหมายแล้ว พระราชินี นั้นก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับพระมหากษัตริย์ ส่วนรัชทายาทก็จะเป็นพระมหากษัตริย์ในอนาคต และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็เป็นผู้ทำการแทนพระมหากษัตริย์ ดังนั้นในสถานะต่างๆ ดังที่กล่าวมาจึงได้รับความคุ้มครองด้วย ซึ่งเป็นพิเศษเฉพาะประมุขของรัฐที่เป็นพระมหากษัตริย์
เรื่องโทษานุโทษหนัก-เบา หรือความผิดใดควรจะเป็นความผิดหรือไม่นั้น มาว่ากันในคราวหน้า


