posttoday

พระมหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต พระนพีสีพิศาลคุณ (2)

17 มีนาคม 2556

หมายเหตุประวัติ พระอาจารย์มหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต หรือ พระนพีสีพิศาลคุณ ซึ่งเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งในสายพระป่า

หมายเหตุประวัติ พระอาจารย์มหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต หรือ พระนพีสีพิศาลคุณ ซึ่งเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งในสายพระป่า

โดย...อมรเทโว ภิกฺขุ

หมายเหตุประวัติ พระอาจารย์มหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต หรือ พระนพีสีพิศาลคุณ ซึ่งเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งในสายพระป่า ต่อไปนี้เป็นข้อเขียนของ อมรเทโว ภิกฺขุ ซึ่งเผยแผ่ต่อสาธารณะโดยมิคำนึงถึงลิขสิทธิ์ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาประวัติครูบาอาจารย์ ตลอดจนการศึกษาธรรมะและการปฏิบัติ คาบใบลานผ่านลานพระ จึงขอนำข้อเขียนของท่านอมรเทโว ภิกฺขุ มาเสนอเป็นตอนๆ โดยมิตัดทอนดังนี้

ภาวนารักษาไว้

หลวงพ่อมหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต

ท่านเป็นสามเณรที่มีความคิดพิจารณาได้ดีเยี่ยม สมกับเป็นผู้มีบารมีธรรม เมื่อการปฏิบัติภาวนาได้ก้าวขึ้นสู่ความสงบแล้ว ท่านก็ได้ชักชวนพระพี่ชาย (อาจารย์แส่ว) ไปบำเพ็ญธรรมในละแวกป่าใกล้ๆ วัดที่จำพรรษานั้น เพื่อจะได้ฝึกกันให้เต็มที่ ยิ่งนานวันก็ยิ่งพึงพอใจกับสภาพความเป็นอยู่นั้น แต่สังขารของท่านกลับจะแย่ลง เนื่องจากป่าสมัยนั้นเป็นดงดิบ แม้จะไม่ไกลจากบ้านเกินไปนัก แต่ก็มีสิทธิที่จะเป็นไข้มาลาเรีย (ไข้ป่า) ได้ทุกคน ท่านเป็นไข้ป่าในช่วงสงครามเลิกใหม่ๆ ราว 2-3 ปี แม้สงครามเลิกไปแล้วก็ตาม แต่ว่ายารักษาไข้นั้นมันหายากมาก แล้วไม่ค่อยจะมีด้วย

ไข้ป่าจะกำเริบเวลากลางวันเท่านั้น ตัวร้อนเพ้อจัดต้องคอยเฝ้าดูอาการ แต่เวลากลางคืน ก็มีอาการเพียงครั่นเนื้อครั่นตัวเท่านั้น อาศัยว่าท่านเคยได้สมาธิมาก่อนแล้วไม่มีความกลัวอะไรเลย คิดว่าเอาสมาธิภาวนารักษาก็คงจะหายขาดได้ จิตใจมันคิดอย่างนี้แหละมันกล้าจริงๆ พอรู้สึกอาการเป็นอย่างนั้น ก็นั่งสมาธิภาวนาเลย แล้วอธิษฐานว่าหายๆๆๆๆ ไข้ป่าก็หายไปทั้งวัน วันที่สองก็เป็นอีกทำอย่างเก่าก็หายไปอีก ไข้ป่ากำเริบ อยู่สามวันก็หายขาด

อำนาจสมาธิภาวนานี้ โดยไม่ต้องกินยาเลย จิตใจกล้าเข้มแข็ง ก็สู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างอาจหาญเช่นนี้เอง

ไข้ป่าไปโรคใหม่มา

ภายหลังจากโรคมาลาเรียหายไปแล้ว ยังไม่ทันได้หายใจทั่วท้องโรคใหม่ก็ปรากฏโฉมให้เห็นอีก ท่านเป็นรูมาติซัมกำเริบหนัก ปวดเข้าข้อเข้ากระดูกเจ็บปวดมากจนน้ำตาไหลปวดร้าวไปหมด ตอนนั้นยากินหรือยาทาไม่มีหรอก ทางที่ดีก็นอนทำสมาธิภาวนาทำจิตใจปล่อยอารมณ์โลก ซึ่งเมื่อนอนลงไปแล้วจะพลิกตัวไม่ได้เลยมันทรมานมาก ความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นเป็นเรื่องของสังขารจิตของท่าน จะต้องการความอิสระก็ทำ

ภาวนาต่อไป ที่สู้พยายามบำเพ็ญคุณงามความดีก็หวังความอิสระให้เกิดขึ้นทางจิตมากกว่าความผูกพัน ท่านเป็นนักต่อสู้กับอุปสรรคก็เกิดกำลังใจ ไม่ท้อถอย ทำจิตใจเข้าสู่ความสงบเป็นเวลานานๆ แต่ครั้นถอนสมาธิออกมา ก็พยายามพลิกตัวดูความเจ็บปวด ก็ยังปรากฏอยู่ โรคร้ายนี้สร้างความรำคาญแก่ท่านเป็นอันมาก เวลาฉันอาหารก็ต้องกระดุกกระดิกตัว แต่ก็ทำได้เท่านั้นเพราะเจ็บปวดมาก ฉันอาหารได้เล็กน้อยความมานะอดทนต่อสู้กับวิบากอันเป็นเพื่อนเก่าต้องทนทานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ได้อาศัยสมาธิระงับดับความเจ็บปวดเป็นบางครั้งบางคราว ท่านเป็นรูมาติซัมเพียง 10 วันก็หายขาด

หลบเวทนา

วิธีหลบความเจ็บปวดของท่าน ได้รับอุบายมาจากหนังสือแบบเข้าถึงไตรสรณคมน์ของพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม โดยถือหลักหลบเวทนาดังนี้ (พระพุทธเจ้าทรงรับรองความเบากายเบาใจนี้ เรียกว่า ยุคลธรรม มี 6 ประการ) คือ

1.กายลหุตา จิตฺตลหุตา แปลว่า เบากายเบาใจ

2.กายมุทุตา จิตฺตมุทุตา แปลว่า อ่อนหวาน พร้อมทั้งกายทั้งใจ

3.กายปสฺสทฺธิ จิตฺตปสฺสทฺธิ แปลว่า สงบพร้อมทั้งกายทั้งใจ

4.กายุชุกตา จิตฺตุชุกตา แปลว่า เที่ยงตรงทั้งกายทั้งใจ

5.กายกมฺมญฺญตา จิตฺตกมฺมญฺญตา แปลว่า ควรแก่การกระทำพร้อมทั้งกายทั้งใจ

6.กายปาคุญฺญตา จิตตปาคุญฺญตา แปลว่า คล่องแคล่วสะดวกดีพร้อมทั้งกายทั้งใจ

ทั้ง 6 ประการดังกล่าวนี้ ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าทรงรับรอง เพื่อระงับทุกขเวทนาต่างๆ คือระงับความเหน็ดเหนื่อยความเมื่อยล้า ความหิวโหยทั้งปวงตลอดถึงความเจ็บปวดทุกประการ ก็จะระงับกลับหายไปพร้อมกัน รู้สึกได้รับความสบายกายสบายใจปลอดโปร่งในใจขึ้นพร้อมกันทีเดียว

นี้เป็นวิธีที่สามเณรทองอินทร์ แก้วตา ปฏิบัติตอนที่มีอายุได้ 18-19 ปี เมื่อมีไข้ป่ากำเริบอย่างหนักไข้สูงถึงกลับเพ้อในบางโอกาส ก็อาศัยธรรมเป็นโอสถรักษาขณะป่วยไข้ เป็นไข้ป่าอาหารขบฉันก็ไม่ค่อยได้ พ้น 3 วันโรคร้ายรูมาติซัมก็มาเบียดเบียนเข้าอีกเป็นเวลา 10 วัน ความอ่อนเพลียความเจ็บปวดและความหิวโหยก็ประดังกันเข้ามาทะลักดุจน้ำป่า ท่านจึงต้องอาศัยธรรมะที่ตนเองเคยได้รับมารักษาอาการเจ็บป่วย อนึ่งหยูกยาในยุคสงครามเลิกใหม่ๆ นั้นหาไม่ได้เอาเลยทีเดียว มิหนำซ้ำการเจ็บป่วยนั้นก็นอนอยู่เฉยๆ ถ้าใครเป็นไข้หนักๆ ก็นอนรอความตายเท่านั้นเอง

ตลอดเวลาที่ท่านป่วยไข้และรักษาโรคภัยด้วยสมาธิธรรมนั้น ไม่มีผู้ใดรู้เลยแม้แต่น้อยว่าท่านปฏิบัติธรรมกรรมฐาน จนจิตใจเป็นสมาธิและรู้วิธีหลบเวทนาได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญยิ่ง

อย่าห่างครู

แม้ท่านจะมีความแน่วแน่ปฏิบัติธรรมจนเกิดเป็นสมาธิทรงความสงบอยู่ได้ หลบเวทนาอยู่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องหลงผิดอยู่เสมอ ซึ่งท่านได้เล่าไว้เป็นคติสอนใจนักปฏิบัติทั้งหลาย ว่า จงอย่างห่างไกลครูบาอาจารย์ จงพยายามไปมาหาสู่ท่านเสมอๆ ดูตัวอย่างในสายของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ท่านไปอยู่แห่งหนตำบลใด ลูกศิษย์ลูกหาก็เฝ้าติดตาม แม้ใครได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ ได้ฟังธรรมได้สนทนาธรรม ก็จะเป็นผู้มีความสามารถเอาตัวรอดปลอดภัยจากกิเลสตัญหาอุปาทานได้

ตอนที่ท่านบวชใหม่ๆ มองเห็นพระแก่ๆ ที่บวชมานาน ก็มานึกว่าท่านน่าจะได้บุญมากมายแล้ว น่าจะสึกออกไปใช้ชีวิตภายนอก แต่เมื่อท่านนั่งสมาธิเข้าถึงความสงบทีไร มันก็นั่งเงียบดับหมด ไม่ได้ยินไม่ได้สนใจอะไรเลย ครั้นได้เวลามันก็คลายสมาธิเอง เป็นอยู่อย่างนั้น ท่านคิดว่าตนเองเป็นเณรบวชไม่นานคงจะมีบุญน้อยยังไม่พอ ต้องฝึกฝนอบรมต่อไป จนกว่าจะสะสมบุญไว้มากๆ ก็คิดเอาเองเพราะมันขาดครูบาอาจารย์

ในตอนนั้นเลยทำให้เข้าใจไปเองทุกอย่างที่จะคิดได้

หลงผิดติดสงบ

ความสำคัญมีอยู่ว่า เวลานั่งสมาธิทีไรจิตจะดิ่งวูบลงไปเหมือนเอาก้อนหินหนักๆ โยนลงน้ำวูบลงไปถึงก้นคลอง จิตวูบลงสู่ความสงบมันว่างไปหมด สบายดีเหลือเกิน ไม่รับรู้อะไร คิดว่าดีแล้วพอแล้ว เมื่อท่านย้ายไปอยู่วัดเนินแก้วสว่างสีทอง บ้านน้ำเฮี้ยใหญ่ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ พอดีพระอาจารย์หลอด ปโมทิโต ซึ่งเป็นพระพี่ชายเหมือนกัน ท่านฝักใฝ่ในทางธรรมะก็เลยได้คู่ดำดุ่ยๆ ทั้งที่ไม่มีครูบาอาจารย์ชวนกันเที่ยวรุกขมูลโดยตั้งจุดประสงค์ว่า

1.เพื่อจะไปโปรดญาติโยม

2.ประสงค์ปฏิบัติขั้นเด็ดขาดแบบอุกฤษฏ์ เพราะได้ทราบว่าพระในสายพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านมีความเพียรอย่างมากชนิดเอาเดิมพันด้วยชีวิต ท่านก็พยายามเหมือนกัน ขณะเดินธุดงค์ในป่าพร้อมกับพระพี่ชาย ผลของการบำเพ็ญภาวนาก็เหมือนเดิมทุกอย่างนั่งตัวตรงเป็นตอไม้ นั่งสมาธิทีไรก็เข้าสู่ความสงบ จิตดับหูดับไปเหมือนเดิม ไม่มีอะไรก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

นี่แหละถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ หรือห่างไกลครูบาอาจารย์ก็จะทำให้หลงทางได้ และมีเปอร์เซ็นมากเสียด้วย เป็นการหลงผิดติดสงบ อย่างที่ว่านี้แหละ

ภายหลังจากเข้าพรรษาปีนั้น ก็หยุดพักในการไปจำวัดในเขตป่าดง มาศึกษาเกี่ยวกับพระปริยัติธรรมบ้าง โดยการหาหนังสือนวโกวาท และวินัยมุขอีกเล่มหนึ่ง เอามาท่องให้ขึ้นใจอนุศาสน์ 4 นั้น พยายามมากที่จะท่องจำ แต่การปฏิบัติภาวนาก็ไม่เคยทอดทิ้ง ยังนั่งสมาธิเดินจงกรมอยู่เสมอไม่ขาดตลอดพรรษา

หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2491 อายุ 19 ปีจึงไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านโนนแก้วสว่างสีทอง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์

ไปเชียงใหม่

ในระหว่างปี พ.ศ. 24902491 ท่านกับสามเณรไข่ กาญจกิงไพและนายนิพนธ์ กงถัน ผ้าขาวอีกคนหนึ่ง ชวนกันไปภาคเหนือโดยเดินทางจาก จ.เพชรบูรณ์ มุ่งตรงไป จ.เชียงใหม่ โดยอาศัยเดินธุดงค์เพื่อไปหาพระพี่ชาย (พระอาจารย์แส่ว) ก็ได้รับทราบว่าพระพี่ชายได้ไปอยู่จำพรรษาที่สำนักปฏิบัติธรรมสันติธรรม จ.เชียงใหม่ จึงไปสมทบอยู่ด้วย ท่านก็ได้เข้ากราบพระเถระผู้ใหญ่แจ้งความประสงค์ ท่านได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อสิม พุทฺธาจาโร ก็เกิดศรัทธาอย่างยิ่ง ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของท่านเลย และไปสมัครเรียนนักธรรมตรีและบาลีไวยากรณ์ที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ เพื่อจะแสวงหาสถานที่ศึกษาปริยัติธรรมตามที่ตั้งใจไว้

ท่านพักอยู่กับหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ที่สำนักปฏิบัติธรรมสันติธรรม ซึ่งเดิมใช้บ้านมิสเตอร์อาเธอร์ ไลอันแนส คิวริเปอร์ กับแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กีรติปาล ซึ่งเป็นบ้านร้าง เนื่องจากเจ้าของหนีภัยสงครามอพยพไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว ปัจจุบันคือสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 เป็นเวลา 1 พรรษา ต่อมาหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ได้เดินทางไป อ.เถิน จ.ลำปาง หลวงปู่สิม จึงกลับมาจากวัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง เจ้าของบ้านต้องการใช้บ้าน หลวงปู่สิมและคณะศิษย์จึงจำเป็นต้องหาที่อยู่ใหม่ หลวงปู่ได้ปรารภระหว่างเทศน์ว่า “นกมันยังทำรังได้ คณะศรัทธาจะสร้างวัดอยู่สักวัดหนึ่งไม่ได้หรือ”

ในปี พ.ศ. 2490 พระนพีสีพิศาลคุณ อายุได้ 21 ปีสอบนักธรรมตรีได้และในปี พ.ศ. 2494 อายุได้ 23 ปี สอบได้นักธรรมโท ที่สำนักเรียนวัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่

อุปสมบท

ในปี พ.ศ. 2491 เมื่ออายุครบ 20 ปี ก่อนจะ‌ถึงวันเข้าพรรษาในปีนั้นที่สำนักปฏิบัติธรรมสันติ‌ธรรม หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (ปัจจุบันท่านเป็น‌เจ้าอาวาสวัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ ‌จ.หนองคาย) ที่พำนักอยู่ด้วยกันที่สำนักปฏิบัติ‌ธรรมสันติธรรม ได้มองเห็นความสามารถและ‌ความประพฤติ ความตั้งใจจริง จึงได้ให้การสนับ‌สนุนโดยการจัดหาสิ่งของอันเป็นบริขาร 8 คือ ‌เครื่องบวชทุกอย่าง และยังได้ถือเอาเป็นพระ‌อาจารย์อีกองค์หนึ่งของท่าน

ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันศุกร์ที่ 9 เดือน ก.ค. 2491 ปีชวด เวลา 14.00 น. ที่วัดเจดีย์หลวง ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีพระพุทธิโศภณเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง เป็นพระอุปัชฌาย์พระครูพิศาลขันติคุณ(ต่อมาท่านได้เป็นท่านเจ้าคุณพระธรรมดิลก แห่งวัดเจดีย์หลวง) เป็นพระกรรมวาจาจารย์หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรเป็นพระอนุสาวนาจารย์ และมีแม่กาบคำ ณ เชียงใหม่ เป็นเจ้าศรัทธา โดยได้ฉายาว่ากุสลจิตฺโต

ย้ายสำนักสงฆ์สร้างวัดใหม่

 พ.ศ. 2489-2490 คณะศรัทธาญาติโยมนำโดย น.ส.นิ่มนวล สุภาวงศ์ หรือ น.ส.นิ่มคิ้ม แซ่เฮ้ง เป็นหัวหน้าหมู่คณะได้เจรจาขอซื้อที่ดินของพันโทพระอาสาสงคราม (ต๋อย หัสดิเสวี) และคุณนายพื้น อาสาสงคราม 5 ไร่ และซื้อที่นาด้านใต้ อีก 3 ไร่ 3 งาน และซื้อเพิ่มอีกำรวมเป็น 10 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวา เป็นเงินทั้งสิ้น 7,568 บาท ที่บ้านแจ่งหัวริน เพื่อจะสร้างวัด ซึ่งพันโทพระอาสาสงครามเมื่อขายที่ดินให้แล้ว ยังออกเงินช่วยสมทบสร้างกุฏิ และห้องน้ำเพิ่มให้อีก รวมทั้งควบคุมงานแผ้วถางและงานก่อสร้าง นายฮังยิ้น หรือแป๊ะฮังยิ้น ได้ขุดบ่อน้ำ ที่ได้ใช้มาจนถึงทุกวันนี้เรียกว่า น้ำบ่อแป๊ะ ในพรรษาแรกนี้มีพระภิกษุสามเณรอยู่ปฏิบัติธรรมจำพรรษามากกว่า 15 รูปด้วยกัน ในจำนวนนี้ต่อมาได้มีชื่อเสียง และเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปคือหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ หลวงปู่ชอบ ฐานสโมฯลฯ ถือได้ว่าเป็นปฐมฤกษ์ที่ดีงาม

ผลดีมีสอง

การที่พระภิกษุสามเณรไปอยู่จำพรรษาตอนแรกนั้น ชาวบ้านก็ปลูกกระต๊อบเล็กๆ ให้อยู่เท่านั้น ไม่ได้เป็นวัดหรอกนะ เป็นที่เก่าแก่ไม่มีผู้คน มีความสงบเงียบดีมากเลยทีเดียว เพราะเป็นยุคสงคราม ผู้คนหลบหนีภัยความตายกันหมด จะมีอยู่บ้างก็ส่วนน้อยเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ เท่านั้น

ในปี พ.ศ. 2491 ท่านได้เริ่มท่องตำหรับตำราและเดินทางไปเรียนยังวัดเจดีย์หลวง ตอนนั้นได้เปิดสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแล้ว ท่านเดินไปกลับราวๆ 6 กิโลเห็นจะได้ ท่านชอบใจเพราะว่าจะได้เดินจงกรมไปด้วยในตัวเลย เป็นผลดีทั้งในด้านพระปริยัติธรรม และปฏิบัติธรรม ควบคู่กันไปเลยทีเดียว

ในปี พ.ศ. 2492 เมื่อมีการสำรวจพื้นที่ครั้งแรกๆ พบว่า มีอิฐ กระเบื้อง แนวกำแพงและมีเนินโบสถ์หรือวิหาร พอสันนิษฐานได้ว่าที่แห่งนี้เคยเป็นวัดมาก่อน ชื่อว่า“วัดผ้าขาว”แต่ไม่อาจสืบหาประวัติได้ เมื่อก่อสร้างพอมีที่พักเป็นกุฏิไม้ ฝาไม้ไผ่ขัดแตะ หลังคามุงใบตองตึงพออยู่ได้ พระนพีสีพิศาลคุณจึงได้ย้ายจากสำนักปฏิบัติธรรมสันติธรรมมาอยู่กับหลวงปู่สิม พุทฺธจาโร ที่สำนักสงฆ์สันติธรรมนับแต่นั้นเป็นต้นมา

วันเปิดป้าย“วัดสันติธรรมนครเชียงใหม่”

วัดสันติธรรมเป็นวัดราษฎร์ ทำการเปิดป้ายชื่อ“วัดสันติธรรมนครเชียงใหม่”เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2492 หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ระหว่างปี พ.ศ. 2492-2510 ได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ให้สร้างวัด ตามหนังสือเลขที่ 1 ลงวันที่ 15 พ.ค. 2496

ในปี พ.ศ. 2497 หลวงตาแสง ชาวหลวงพระบาง ได้เศียรพระมาจากวัดปางมะโอ อ.พร้าว จึงได้นำมาถวายหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร หลวงปู่ได้ให้ช่างต่อเศียรพระให้เต็มองค์ โดยให้ช่างตั้งโรงหล่อที่วัดสันติธรรม พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระปางมารวิชัย หน้าตัก 29 นิ้ว นามว่า“พระอนันตญาณมุนี”เป็นพระพุทธรูปองค์รองในอุโบสถผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทุนทรัพย์ คือ ขุนเจริญจรรยา เสียมภักดี (ดังจะได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของในตำนาน“วัดสันติธรรมนครเชียงใหม่”อีกครั้ง)

พร้อมกับหล่อพระยืน 2 องค์ ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทุนทรัพย์ คือ คุณอุไร เลาหไพบูลย์ กับคุณแม่ของคุณชุลี ปิฏกานนท์

ได้มีคุณหมอบรรจงเป็นผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินผ่านท่านเจ้าคุณพระธรรมจินดาภรณ์ (สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี) ปัจจุบันจำพรรษา วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ ให้ช่างหล่อพระพุทธรูป พระประธานในอุโบสถวัดสันติธรรมเป็นพระปางมารวิชัย ศิลปะสมัยเชียงแสน สิงห์หนึ่ง หน้าตัก 59 นิ้ว สูง 4 ศอกนามว่า“พระบรรจงนิมิตร”

วันที่ 25 ต.ค. 2498 ได้รับอนุญาตให้ตั้งเป็นวัด และวันที่ 26 ส.ค. 2500 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาที่มีขนาดส่วนกว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร

(อ่านต่อฉบับหน้า)


 

 

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด บุรีรัมย์ พบ การท่าเรือ ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68