เสื้อแดงเลือดเข่าตา ปิดย่านธุรกิจแลกหมัดรัฐบาล
8...ทีมข่าวการเมือง
งวดเข้ามาทุกที... กับการเร่ง
“ปิดเกม” ของกลุ่มเสื้อแดง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตามที่เคยประกาศเป้าหมายขีดเส้นตายไว้ก่อน “สงกรานต์”จึงไม่น่าแปลกใจกับการชุมนุมใหญ่รอบนี้ ที่
“ยกระดับ” พุ่งเป้าเจาะไปยัง “เส้นเลือดใหญ่” ภาคธุรกิจกลางกรุง ย่านราชประสงค์ ซึ่งคับคั่งไปด้วยศูนย์การค้ายักษ์ใหญ่ด้วย
“ตัวเลข” มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น วันละ 200300 ล้านบาท ที่ภาคธุรกิจต้องสูญเสียโอกาสกับการปิดห้าง ระหว่างวันหยุดสุดสัปดาห์ ในช่วงต้นเดือนเมื่อรวมกับภาพ
“สัญลักษณ์” ความเป็นย่านธุรกิจสำคัญ พื้นที่ท่องเที่ยวของนักช็อปต่างชาติ ยิ่งกลายเป็นปัจจัยทำให้ข่าวนี้แพร่กระจายไปสู่เวทีโลกและย้อนกลับมากดดันรัฐบาลมากยิ่งขึ้นการเคลื่อนไหว
“ปักหลัก” ปิดราชประสงค์แบบไม่มีกำหนดหนนี้ จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญตามแผนยกระดับการชุมนุม ชนิดที่ “เสื้อแดง” ยอมเปิดหน้า “แลกหมัด” กับรัฐบาลแบบใครดีใครอยู่ ยิ่งในบรรยากาศที่เปราะบางต่อความรุนแรงต้องยอมรับว่า
“เสื้อแดง” กับรูปแบบการเคลื่อนไหวเดิมๆ ตลอด 20 กว่าวันที่ผ่านมา แทบไม่สามารถสร้างแรง “กดดัน” เขย่า “รัฐบาล” ที่คอยแต่ตั้งรับ ด้วยการควบคุมไม่ให้เกิดความรุนแรงหรือความพยายามสร้างสถานการณ์“
ยุทธวิธี” การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น ดาวฤกษ์ ดาวกระจาย เจาะเลือด สาดเลือด ยังเป็นเพียงแค่การเลี้ยงกระแสมวลชนไม่ให้สูญหายไประหว่างการปักหลักชุมนุมยืดเยื้อขณะที่ประเด็นข้อเรียกร้องอย่างการ
“ยุบสภา” ภายใน 15 วัน กลับดูไร้วี่แวว โดยเฉพาะหลังการเจรจาระหว่างเสื้อแดงและรัฐบาล ใน 2 รอบที่ผ่านมา ที่เสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำแบบไม่มีทางลงถึงขั้นปิดประตูการเจรจารอบ 3 เดินหน้ากดดันรัฐบาลยุบสภาเต็มสูบ แบบไม่สนใจต่อรอง ข้อเสนอโรดแม็ป 9 เดือน หรือสูตร 36 เดือนที่มีหลายฝ่ายเสนอทางเลือกออกมา ยังทำให้เสื้อแดงต้องโดดเดี่ยวต่อสู้ตามลำพัง
ขณะที่
“รัฐบาล” นอกจากจะลอยตัวประคองสถานการณ์ให้เสื้อแดงแผ่วกำลังไปเองแล้ว อีกด้านหนึ่งยังดึงการมีส่วนร่วมจากภาคอื่นๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจ มาเป็นแนวร่วม ลดการปะทะระหว่างเสื้อแดงกับรัฐบาลโดยตรงดังนั้น การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเที่ยวนี้ กับการพุ่งเป้าไปยัง
“ภาคธุรกิจ” จึงได้ประโยชน์ทั้งการสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจและตอบโต้ภาคธุรกิจที่ออกมาเป็นแนวร่วมรัฐบาลย้อนไปดูการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา
“เสื้อแดง” ทั้งการเคลื่อนขบวนไปกดดันที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ บ้านนายกรัฐมนตรี หรือเคลื่อนไหวแบบดาวกระจายไปทั่วกรุงเทพฯ ไม่สามารถสร้างแรงกดดันได้มากพอจะสั่นคลอนรัฐบาลทว่าการปักหลักชุมนุมย่านราชประสงค์เที่ยวนี้ จะทำให้ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบแบบไม่รู้ชะตากรรมว่าจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีกนานแค่ไหน ออกมากดดันให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาไม่ให้มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นทุกวันๆ
รัฐบาลเองยิ่งไม่อาจจะยื้อเวลา คอยดูสถานการณ์ได้อีกต่อไป ดังจะเห็นจากสัญญาณ
“เอาจริง” ของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กดดันให้กลุ่มผู้ชุมนุมถอนการชุมนุมตั้งแต่ท่าทีของนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่ออกแถลงการณ์พิเศษ ชี้แจงว่าการชุมนุมนี้ละเมิดสิทธิผู้อื่นและผิดกฎหมาย จน ศอ.รส.ต้องออกประกาศให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเจรจา
และเป็นครั้งแรกของ ศอ.รส. ที่จะยื่นเรื่องขออำนาจศาลในวันนี้เพื่อบังคับให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกนอกพื้นที่ รวมถึงดำเนินคดีกับแกนนำหากยังไม่ยอมถอนการชุมนุมในบริเวณดังกล่าว
สัญญาณอันตรายที่ต้องจับตาหลังจากนี้ ความรุนแรงที่อาจจะเกิดจากการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายหลังมีคำสั่งศาล หากกลุ่มเสื้อแดงยังยืนยันชุมนุมต่อ
โดยเฉพาะท่าทีของแกนนำเสื้อแดง ที่ประกาศไม่วิตกกังวลกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ เพราะหากมีการดำเนินคดีต้องใช้ระยะเวลาเป็นปี โดยเทียบเคียงจากคดีพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบิน ที่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินคดีเอาผิดกับใคร แถมยังจะนัดหารือเพื่อเพิ่มจุดชุมนุมเพิ่มเติมอีก
ตรงนี้จึงเป็นอีกช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของทั้งสองฝั่ง เมื่อแน่นอนว่าด้วยหลัก สันติ อหิงสา ที่กลุ่มผู้ชุมนุมอ้างมาโดยตลอดนั้น อาจไม่สามารถกดดันรัฐบาลได้เท่ากับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากการยั่วยุ หรือความพยายามทำให้เกิดเงื่อนไขการปะทะ
ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่รัฐ หรือกลุ่มผู้ชุมนุมกับประชาชนทั่วไปที่ไม่พอใจการปิดล้อมพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งหากเกิดความรุนแรงขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้
ทว่า ประเมินจากฝั่งเสื้อแดงเอง การยึดพื้นที่ราชประสงค์ปักหลักชุมนุมยืดเยื้อเที่ยวนี้ ประเมินแล้ว แม้จะสามารถสร้างแรงกดดันจนรัฐบาลต้องออกอาการ แต่ทว่าอีกด้านย่อมต้องแบกรับแรงเสียดทานจากคน กทม. และภาคธุรกิจด้วย
แต่สำหรับเสื้อแดง ที่ไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้กับการกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับชาว กทม. ที่ออกมาต่อต้านหลายกลุ่ม แต่สำหรับเสื้อแดง เมื่อคนกลุ่มนี้ไม่ใช่
“แนวร่วม” อยู่แล้ว การจะมีโจทก์เพิ่มอีกกลุ่มสองกลุ่มก็ไม่ทำให้สถานการณ์แย่ลงตรงกันข้ามหากแกนนำเสื้อแดงยังคงยึด
“ยุทธวิธี” เดิมๆ ที่ทำมา นับวันก็มีแต่จะเสียแนวร่วมไปทีละน้อย ต่างจากการเคลื่อนไหวที่ยกระดับความเข้มข้นที่จะทำให้มวลชนเสื้อแดงยังเหนียวแน่นต่อไปอีกระยะคำนวณแล้วอย่างไรเสีย การเคลื่อนไหวกดดันพุ่งเป้าไปยังภาคธุรกิจของเสื้อแดงเที่ยวนี้ ย่อมเป็นคุณกับเสื้อแดง สำหรับกับการเดินไปสู่เป้าหมายกดดันรัฐบาลให้ยุบสภา แม้จะมี
“ผลเสีย” ที่ต้องยอมรับอยู่บ้างก็ตามยังไม่รวมกับก้าวต่อไปของกลุ่มเสื้อแดงที่เตรียมเคลื่อนไหวในพื้นที่อื่นเพิ่มเติม ซึ่งประเมินว่าจะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใกล้เคียงไม่ว่า สีลม สาทร สุขุมวิท ส่วนเสื้อแดงจะเดินหน้าไปสู่เป้าหมายสุดท้ายได้อย่างที่ตั้งใจหรือไม่ ยังเป็นเกมที่รัฐบาลกับเสื้อแดง คงต้องประลองกำลังกันอีกหลายยก


