ชีวิตรสขมในคุกเขมร
สัมภาษณ์พิเศษ"ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์" กับชีวิตในคุกเขมรที่เต็มไปด้วยเรื่องเศร้า-เหงา-ทุกข์
โดย...ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์
หลังจากทางการประเทศกัมพูชาได้พระราชทานอภัยโทษ “ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์” ภาคีเครือข่ายกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา พร้อมปล่อยคืนสู่อ้อมอกแผ่นดินแม่ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา
แม้จะถูกกักขังในเรือนจำเปรย์ซอว์มาเป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน จากเหตุการณ์พลัดหลงเข้าไปในพื้นที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว พร้อมคณะรวม 7 คน และเป็นที่มาให้ศาลกัมพูชามีคำสั่งจำคุกพร้อมพ่วงข้อหาเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย บุกรุกพื้นที่เขตทหาร และจารกรรมข้อมูล ร่วมกับ “วีระ สมความคิด” แกนนำภาคีเครือข่ายกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ
“โพสต์ทูเดย์” ได้มีโอกาสเสวนาถึงชีวิตในเรือนจำกัมพูชา สิ่งแรกที่เธอสะท้อนให้เห็นภาพเบื้องหลังห้องกรงขัง คือ “ความฟุ้งซ่านกับคำถามที่ถามตัวเองว่า ทำไมฉันต้องมาอยู่อย่างนี้ ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องนี้ และเมื่อไหร่ฉันจะได้ไป”
“รู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะมันไม่ได้เข้าไปอยู่ในบ้านพัก และสภาพจากการได้สัมผัส มันคือคุก จึงเกิดความหวาดระแวงว่ามันจะสกปรก อีกทั้งด้วยความเป็นนักโทษกรณีพิเศษ ทางเรือนจำจึงจับแยกห้องออกจากคนอื่น และให้อยู่ร่วมกับนักโทษชาวกัมพูชาอีก 3 คนเท่านั้น
...แต่พอเริ่มเข้าไปอยู่สักพัก คิดว่าต้องปรับตัวให้ได้ ทำให้ความรู้สึกหวาดระแวงไม่สะอาดก็ลดลงไป ทำให้ลดความวุ่นวาย สับสน ลงไปได้เยอะ เลยมีเวลาตั้งสติปรับสภาพจิตใจตัวเองอยู่กับสิ่งเหล่านั้น”
ราตรี ยอมรับว่า ในช่วงแรกของการอยู่ในเรือนจำนอนไม่ค่อยหลับ หรือนอนหลับประมาณ 3-4 ชั่วโมงก็ตื่น เพราะเรือนจำให้เข้านอนตั้งแต่เวลา 19.00-20.00 น. ตื่นมาอีกทีก็เวลา 02.00 น. เมื่อตื่นขึ้นมาก็นั่งอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ
“อยู่ในนั้นพยายามใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เช่น งานส่วนตัว ทำอาหารก็หมดเวลาไปครึ่งวันแล้ว ซักผ้า ทำความสะอาดห้อง พยายามหาอะไรทำ ขณะที่นักโทษคนอื่นมีฐานะหน่อยก็จะจ้างนักโทษด้วยกันทำ อย่างค่าซักเสื้อผ้าต่อเดือน 150 บาท หากคิดเป็นเงินไทย ซึ่งมันถูกมาก แต่ไม่ได้ใช้”
ราตรี ให้ภาพห้องขังที่ใช้เป็นเรือนนอนมากกว่า 2 ปี ว่ามีเนื้อที่ประมาณ 6X7 เมตร แต่ปัญหาใหญ่ คือ เรื่องการสื่อสาร จึงจำเป็นต้องใช้ภาษามือเพื่อสื่อสาร ทำให้การแสดงความรู้สึกแทบไม่มี ประกอบกับขณะนั้นในเรือนจำมีนักโทษคนไทยด้วยกัน 2 คน แต่อยู่คนละห้อง และนักโทษกัมพูชาพูดไทยได้ ก็ถูกสั่งห้ามมาคุยด้วย
“บางครั้งเพื่อนนักโทษในห้องพยายามพูดให้กำลังใจ ซึ่งก็พอทราบตรงนั้น แต่นิสัยส่วนตัว เป็นคนชอบเงียบๆ นิ่งๆ บวกกับเราไม่ได้รับอนุญาตออกนอกพื้นที่บริเวณห้อง ซึ่งช่วงแรกทางเรือนจำเข้มงวดเรื่องนี้มาก เลยไม่มีใครกล้ามาคุย แต่ก็ไม่ทุกข์ร้อนกับการไม่มีเพื่อน เมื่ออยู่ไปสักพักความเข้มงวดผ่อนคลายลง เริ่มมีการแอบคุยกัน เป็นลักษณะเดินผ่านหน้าห้องคุยกัน เพื่อถามไถ่|สารทุกข์สุกดิบ แต่เมื่อผู้คุมมาก็รีบแยกย้ายกันไป”
ส่วนสภาพจิตใจในตอนนั้น ราตรี เปิดเผยว่า การปรับสภาพขณะนั้น ไม่ถึงกับว่าเข้ามาแล้วปรับได้เลย ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป พอฟุ้งซ่านก็มานั่งพิจารณาว่าเป็นอย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ใช้เวลาอยู่พอสมควรนับเดือน ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องสภาพความเป็นอยู่ มันไม่รู้สึกอะไรมากเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ยึดติดความสะดวกสบาย
“อยู่ลำบากกว่านี้ก็เคย แต่ตอนนั้นจิตของเรามันอยู่ที่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราตรงนั้นมากกว่าที่ทำให้วุ่นวายและฟุ้งซ่าน คนในครอบครัวจะคิดอย่างไร คนทางเมืองไทยจะคิดอย่างไรกับเรื่อง|เหตุการณ์แบบนี้ที่มาเป็นแรงกดดันเรา”
“ช่วงนั้นเวลาหลับตาคิดเสมอว่าต้องนอนมองเพดานแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน และก็นึกถึงสภาพห้องตัวเองว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไป มองออกนอกหน้าต่างก็เห็นต้นไม้ต้นเดิม และคิดว่าเมื่อไหร่จะได้เปลี่ยนวิวตรงนี้สักที”
“พอเริ่มปรับสภาพได้ก็ฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือของครอบครัวและจากกลุ่มญาติธรรมส่งมาให้ ซึ่งตอนนั้นอ่านหนังสือเยอะมาก โดยมีเล่มโปรด คือ สมาธิพุทธ ของพ่อท่านโพธิรักษ์ ใช้เวลาอ่านอยู่ 4 รอบจนเข้าใจ เพราะเนื้อหาบรรยายให้เห็นแก่นแท้ของธรรมะ จนนำคำสอนต่างๆ มาปรับใช้กับชีวิตขณะอยู่เรือนจำ”
“แม้อยากจดบันทึกอะไร ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะผู้คุมเข้มงวด ไม่อนุญาตให้เขียน แต่เพื่อนร่วมห้องก็แอบเอาสมุดมาให้จด พอจดเสร็จก็ต้องฝากเขาไว้เหมือนเดิม หากเก็บไว้กับตัวเวลาค้นเจออาจเกิดปัญหา แต่หลังๆ ลดความเข้มงวดลง จึงเริ่มเขียนจดบันทึกในลักษณะไดอะรีเพื่อระบายความรู้สึกเหตุการณ์แต่ละวัน”
เมื่อมีโอกาสอ่านหนังสือเยอะ เลยมีแนวความคิดว่ามันมีอะไรน่าสนใจในนั้น ควรเผยแพร่ให้คนอื่นบ้าง เช่น บทความกิจกรรมตรงนี้ดี ก็จะเขียนและส่งกลับให้ไปกระจายต่อในกลุ่ม หรือบางทีมีหนังสือเรื่องการล้างพิษตับที่ ปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ เขียนในคอลัมน์รายสัปดาห์ อ่านแล้วดีก็ตัดส่งกลับบ้านให้ถ่ายสำเนาแจก
“อย่างพี่สาวก็จะค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเรื่องแพทย์ทางเลือก กินอะไรดีไม่ดีมาให้เราอ่าน พอเราอ่านเห็นว่าดีนะ ก็ส่งกลับบ้านให้ไปถ่ายสำเนาแล้วก็แจกในกลุ่ม ทำแบบนี้ตลอด ซึ่งถือเป็นการสร้างประโยชน์ทางอ้อม เพราะเรามีเวลาหรือทำอะไรได้ ก็พยายามทำ” ราตรี ระบุ
อย่างไรก็ตาม แม้จะใช้ธรรมะข่มความฟุ้งซ่านภายในจิตใจอย่างไร แต่ราตรีก็สารภาพว่าก็ยังมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ดี
“มีเรื่องคิดเยอะอยู่เหมือนเดิม อย่างเช่น พอรู้ว่าในกลุ่มสันติอโศกมีการบำเพ็ญประโยชน์ไปช่วงน้ำท่วม พอรู้ยิ่งอยากออกไปมาก ไปทำ ไปร่วม เพื่อสร้างประโยชน์ให้สังคม แต่มันทำไม่ได้ และอย่างเวลาอ่านหนังสือเจอสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเคยไปมา ก็คิดไปเรื่อยอยากกลับไปที่เคยไป มันมีอารมณ์แบบนี้”
มาถึงจุดนี้ ราตรี รีบบอกว่าไม่เคยมีความคิดจะนำชีวิตในเรือนจำของตัวเองมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ เพราะถ้าเขียนออกมาจะมีทั้งเรื่องในแง่บวกและแง่ลบ และจะทำให้คุณวีระ สมความคิด ได้รับผลกระทบไปด้วย
เรื่องกิน...เรื่องใหญ่
นอกเหนือไปจากการข่มความเศร้าที่กว่าจะทำใจได้ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควรแล้ว “การกิน” ก็ถือว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่ราตรีต้องเผชิญเช่นกันซึ่งเธอเองบอกตรงๆว่า “ลำบากกว่าคนอื่นมาก”
“เราเป็นคนรับประทานมังสาวิรัต ซึ่งในคุกไม่มี ทำให้ช่วงแรกๆ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ต้องส่งอาหารมาให้วันละ 2 มื้อ คือ เช้าและเย็นทุกวัน สร้างความลำบากกับสถานทูตมาก ขนาดเสาร์อาทิตย์ ไม่ได้หยุด ต้องมาส่ง จะเป็นร้านอาหารมาส่งไม่ได้ เรือนจำไม่อนุญาตหากไม่ใช่เจ้าหน้าที่สถานทูต เกรงว่ามียาพิษแฝงเข้ามาในอาหารจนเป็นอันตราย...
...สถานทูตไทยมาส่งอาหารให้ถึงสักเดือนมิ.ย.2553 บอกกับเราว่า ตอนนี้งบประมาณหมด และมีปัญหาเรื่องคนมาส่งอาหาร จำเป็นต้องทำอาหารรับประทานเอง หลังจากนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องมานั่งทำอาหารรับประทานเองจริงจัง”
หน้าเปื้อนยิ้มของราตรี เล่าถึงบทบาทแม่ครัวว่า การทำอาหารเองมื้อแรก มันไม่สนุกเลย เพราะทำไม่เป็น ตอนอยู่ไทยก็เป็นแม่บ้านถุงพลาสติก แต่นักโทษที่นั่นหากมีฐานะหน่อย สามารถทำอาหารรับประทานเองได้ ไม่จำเป็นต้องทานอาหารของเรือนจำ จากนั้นจึงใช้วิธีสังเกตว่าทำอย่างไร ก็เรียนรู้จากเขา
“อย่างแรกที่ทำ คือ หุงข้าว ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ต่างจากคนอื่นใช้เวลาแค่ 10 นาที เพราะยังกะน้ำกะอะไรไม่ถูก ก็นั่งรอครึ่งชั่วโมงข้าวมันก็ไม่สุก เลยอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ถึง 10 นาทีได้กิน นี่เป็นครั้งแรกในการหุงข้าวโดยใช้เตาแก๊สปิ๊กนิค
....พอเริ่มทำอาหารรับประทานเองจริงๆ ก็ต้องมีอุปกรณ์เป็นของส่วนตัว ปรากฏว่าเพื่อนร่วมห้องไม่อนุญาตให้ใช้เตาแก๊ส เพราะเคยมีกรณีแก๊สระเบิด ก็กลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้น จะกระทบกระเทือนกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เลยบอกให้ใช้เตาถ่าน จนะกระทั่งสามารถทำกับข้าวได้อย่างแรก คือ ผัดผักง่ายๆ ซึ่งกว่าจะทำออกมาเป็นรูปร่างหน้าตาได้ ใช้เวลานานพอสมควร หลังๆก็ปรับดีขึ้น ก็ไม่นาน ประมาณหนึ่งอาทิตย์เริ่มคล่องขึ้น” ราตรี เล่าไปหัวเราะไป
ในเรื่องการทำครัวนี้ตัวราตรีก็ยังไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่าจากคนทำครัวไม่เป็นเมื่อครั้งอยู่เมืองไทยแต่พอโชคชะตาเล่นตลกให้มาเป็นนักโทษในเรือนจำต่างแดนกลับได้วิชาทำอาหารติดตัวกลับมายังประเทศไทยโดยไม่รู้ตัว
“ตอนแรกคิดว่าจะทำอะไรง่ายๆ กินง่าย อยู่ง่าย ไม่อยากทำอะไรซับซ้อน ตอนหลังมาคิดว่าถ้ามัวทำแบบนี้ ก็จะไม่พัฒนาในเรื่องการทำอาหาร ฉะนั้น จึงใช้โอกาสตรงนี้มาหัดทำให้เป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น
ถือเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้ จากนั้น ก็เริ่มหาเมนูว่าอะไรที่มีอยู่สามารถทำได้บ้าง เริ่มหัดจากไม่เป็น พัฒนาจนดีขึ้นเรื่อยๆ พอเริ่มทำแล้วอร่อย ก็เริ่มทำแจก สำหรับคำติชมเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาต้องบอกว่าอร่อย ซึ่งตอนนี้ต้องบอกว่าสามารถทำได้หลายอย่าง ”
ได้วัตถุดิบมาทำอาหารในเรือนจำรับประทานเองได้อย่างไร? แม่ครัวมือใหม่ อธิบายว่า ในเรือนจำมีร้านขายของสด เรือนจำจะมีเวลาปล่อยนักโทษออกนอกห้องขังได้ เช้าเวลา 08.00 – 10.00 น. และบ่ายเวลา 14.00 – 16.00 น. โดยมีหลายครั้งที่ฝากเพื่อนนักโทษด้วยกันซื้อของมาให้แต่ก็ซื้อมาผิดหลายครั้งอันมีสาเหตุจากการสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง
“ยังดีเพื่อในห้องมีหนังสือเรียนภาษาไทย ก็จะมีการเอาหนังสือไทยมาเทียบกับหนังสือกัมพูชา ก็จดๆจำๆไว้ เช่น อยากกินมะม่วง จะพูดว่าอย่างไร ผักนี้พูดว่าอะไร ก็อาศัยตรงนี้บอกเขาไป ซึ่งก็ยังมีซื้อพลาด แต่ก็ไม่ได้อะไร ผิดมาก็ได้ ไม่ได้ซีเรียสอะไรตรงนั้น”
ส่วนเงินที่ใช้ซื้อของมาประกอบการทำอาหาร ราตรี เฉลยว่า ครอบครัวส่งให้ และจะเก็บติดตัวไว้ไม่เยอะ ประมาณ 100 ยูเอสดอลล่าร์ เพราะที่กัมพูชาใช้เงินสกุลนี้ แต่เงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่สามารถใช้จ่ายเพียงพอตลอดทั้งเดือน แต่ด้วยที่บ้านจะมาเยี่ยมทุกวันศุกร์ทำให้ไม่ค่อยขัดสนเท่าไหร
ครอบครัวมาก่อน แต่ไม่ทิ้งอุดมการณ์
แน่นอนหลายคนอยากรู้จักผู้หญิงชื่อ “ราตรี” ทำไมถึงกระโดดเข้าสู่เส้นทางนักเคลื่อนไหวต่อสู้เรื่องดินแดน เธอบอกด้วยน้ำเสียงแห่งความภาคภูมิว่า ก่อนหน้านี้เป็นเพียงผู้ประกอบการธุรกิจมินิมาร์ท และสนใจเรื่องชายแดน จนกระทั่งติดตามและเป็นมวลชนร่วมเคลื่อนไหว และตอนเข้าร่วมงานมวลชน ก็ไม่ได้บอกอะไรกับครอบครัว แต่ครอบครัวก็รับรู้ว่าสนใจเรื่องนี้ ซึ่งก็ให้อิสระกันและกัน ไม่ก้าวก่าย ไม่ได้มาติดตามว่าทำอะไรมากน้อยแค่ไหน
เธอ บรรยายพร้อมน้ำตาคลอเบ้าถึงวินาทีครอบครัวไปรับออกจากเรือนจำว่า ที่บ้านเป็นคนลักษณะไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ และอีกอย่างก็พยายามทำตัวไม่ให้เป็นห่วง ที่บ้านเองก็พยายามทำให้ไม่รู้สึกห่วง พอเจอกันก็จะคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วๆไป เรื่องสารทุกข์สุกดิบบ้าง แต่ไม่ได้แสดงออก
“วันที่กลับมาถึงก็ไม่ได้พูดอะไรกับคุณแม่มาก เพราะที่บ้านปิดๆเรื่องนี้อยู่ และที่สำคัญคุณแม่ก็อายุเยอะ อีกทั้ง หลงๆลืมๆ แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ทางบ้านก็ไม่ได้บอกอะไรตรงๆว่าห้าม แต่รับรู้ด้วยการสัมผัสว่าเป็นห่วง กังวลว่าจะเป็นอันตราย หากทำอะไรเปิดเผยมากกว่านี้”
“เมื่อผ่านช่วงเลวร้ายของชีวิตมาได้ จะใช้เวลาต่อจากนี้ดูแลครอบครัวโดยเฉพาะคุณแม่ ซึ่งมีอายุมากและมีปัญหาสุขภาพ เพื่อชดเชยช่วงวันเวลาที่ขาดหายไป แต่จุดยืนการต่อสู้เรื่องดังกล่าวยังคงเดิมไม่เปลี่ยน แต่อาจจะต้องแบ่งให้เวลาเหมาะสม”
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ราตรี บอกตรงไปตรงมาว่า “เหนื่อย” จากคนที่เคยเป็นแค่มวลชนแล้วต้องมาเป็นแกนนำ ทำให้ต้องคิดอะไรมากขึ้น จริงจังมากขึ้น เพื่อนำข้อมูลในเรื่องดังกล่าวมาเรียบเรียงและถ่ายทอดออกไป แม้มีความเข้าใจอยู่แล้ว แต่ต้องทำการศึกษาเพื่อให้แน่นประเด็นต่อการนำเสนอ”
ขณะเดียวกัน ยืนยันไม่เคยคิดโกรธพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะอดีตรัฐบาลที่ไม่สามารถช่วยให้พ้นจากการถูกคุมขังได้ ในทางกลับกันรู้สึกเข้าใจกับสถานการณ์ที่รัฐบาลต้องเผชิญในขณะนั้น
“รัฐบาลชุดนั้นอยู่ในช่วงเหตุการณ์ต่อสู้คดี แต่รัฐบาลชุดนี้มันผ่านตรงนั้นไปแล้ว รัฐบาลประชาธิปัตย์เสนอแนวทางขออภัยโทษ แต่อาจเป็นไปได้ว่าความสัมพันธ์รัฐบาลยุคนั้นกับรัฐบาลยุคนี้กับกัมพูชาแตกต่างกัน เพราะรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งหรืออันหนึ่งอันเดียวกันกับรัฐบาลกัมพูชา ฉะนั้น ผลการช่วยเหลือจึงอาจไม่ได้ผลเหมือนกับรัฐบาลชุดนี้ที่มีความสัมพันธ์อันหนึ่งอันเดียวกัน”
อย่างไรก็ตาม ราตรีก็ยังมีความสงสัยถึงการท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นอยู่ดี โดยเธอมองว่า “การสู้คดีเป็นการปกป้องผลประโยชน์ประเทศชาติ ไม่ใช่สู้เพื่อแก้ข้อกล่าวหาช่วยเหลือบุคคลธรรมดา 2 คน แต่เป็นการสู้เรื่องดินแดน ถ้าไม่ออกมาแสดงสิทธิ ก็เหมือนเป็นการยกดินแดนให้กัมพูชา”
“รัฐบาลชุดนั้นไม่ทำ กลับให้ข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อกัมพูชาด้วยซ้ำ โดยเฉพาะคุณอภิสิทธิ์ ที่ออกมาแถลงข่าวผ่านสื่อ พร้อมกางแผนที่ระบุว่าเราล้ำเข้าไปในพื้นที่เท่าไหร่ แต่เมื่อมาดูความจริงมันไม่ใช่เลย เส้นเขตแดนที่อภิสิทธิ์เอาไปทำมันไม่ใช่ บ้านหนองจานอยู่ในดินแดนไทย เดินยังไง หรือถูกควบคุมตัวไปถึงไหน ก็ยังอยู่ในพื้นที่ประเทศไทย แต่รัฐบาลชุดนั้นไม่ทำ”
มีข่าวออกมาว่าถูกข่มขู่หากฟ้องร้องประชาธิปัตย์เพื่อเรียกเงินค่าเยียวยาจากผลกระทบที่เกิดขึ้น? ราตรี ไม่ปฎิเสธว่าเรื่องนั้นมีอยู่จริงแต่เป็นลักษณะติดต่อผ่านมาทางเพื่อนอีก ซึ่งจากการฟังตอนหลังก็ไม่ทราบว่าขู่หรืออะไร แต่บอกแค่ว่าให้เราคิดทบทวนให้ดีถ้าคิดจะฟ้อง
“จะฟ้องร้องหรือไม่ ช่วงนี้คงยัง รอจังหวะและเหตุการณ์หลายอย่าง อีกทั้ง ยังไม่ถึงจุดที่ต้องดำเนินการ และ ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้ระวังตัวเองเป็นพิเศษ เพราะเรื่องนี้มันเปิดออกไป คิดว่าเป็นการป้องกันตัวเอง โดยใช้สังคมเป็นเกราะ ถ้าเปิดออกไป ใครคิดทำต้องระวังมากขึ้น มันไม่ใช่ง่าย หากปิดถือเป็นเรื่องอันตราย เพราะไม่มีใครทราบ....
กลัวเหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดใส่ใจอะไร ยังใช้ชีวิตเหมือนที่เคยใช้ปกติ ไปไหนมาไหนคนเดียว ทั้งนี้ จากการไปเคยชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการของวุฒิสภารับปากเพียงว่าจะดูแล ส่วนจะเป็นแนวทางไหน เชื่อว่าพวกเขาคงจะไปดำเนินการอีกที อาจเป็นลักษณะสืบหาข่าว เมื่อมีข้อมูลก็คงมาเตือนให้ระวังตัว” ราตรี ทิ้งท้าย
ถึงที่สุดแล้วราตรีก็ยืนยันว่าทุกอย่างผ่านไปแล้วไม่ได้คิดอะไรเพียงแค่อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันปกป้องแผ่นดินไทยเท่านั้น


