ความคิดกำหนดชะตากรรม
ว่ากันว่าถ้าอยากให้ชีวิตทุกวันมีความสุขก็อย่าดูรายการข่าว ทั้งยังไม่เหมาะกับเยาวชนทุกระดับเพราะมีแต่เรื่อง “ร้ายแรง”
ว่ากันว่าถ้าอยากให้ชีวิตทุกวันมีความสุขก็อย่าดูรายการข่าว ทั้งยังไม่เหมาะกับเยาวชนทุกระดับเพราะมีแต่เรื่อง “ร้ายแรง”
โดย...ทวี สุรฤทธิกุลว่ากันว่าถ้าอยากให้ชีวิตทุกวันมีความสุขก็อย่าดูรายการข่าว ทั้งยังไม่เหมาะกับเยาวชนทุกระดับเพราะมีแต่เรื่อง “ร้ายแรง”
คือถ้าไม่เป็นข่าวร้ายก็ต้องถูกแต่งแต้มใส่สีใส่ไข่ให้ดูรุนแรงหรือเว่อร์จนเกินจริง ทั้งพวก “เล่าข่าว” และคลิปไร้ที่มาที่ไปอย่างที่กำลังนิยมกันในยุคนี้
วิธีติดตามข่าวที่ดีที่สุดน่าจะเป็นจากหนังสือพิมพ์ เพราะหนังสือพิมพ์มีกระบวนการผลิตข่าวหรือการได้มาซึ่งข่าวสารต่างๆ อย่างน่าเชื่อถือ ไม่สุกเอาเผากินหรือเอาแต่ความเร็วความแรงอย่างพวกทีวีและสื่ออินเทอร์เน็ต ที่สำคัญหนังสือพิมพ์มีความรับผิดชอบและสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลาจากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร และเก็บอยู่ในห้องสมุดให้ค้นคว้าได้อีกเป็นสิบๆ ปี ต่างจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มาเร็ว ไปเร็ว (รวมทั้งจรรยาบรรณที่เสื่อมไปอย่างรวดเร็ว)
ดังนั้นเวลาว่างๆ ผู้เขียนจึงชอบดูหนัง และเพื่อความสะดวกสบายและประหยัดที่สุดก็คือที่บ้านจากเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมต่างๆ (ไปดูในโรงหนังก็เบื่อมากๆ กับพวกที่พกสมาร์ตโฟนแล้วแชตหรือเล่นไลน์ส่งแสงวูบวาบ ทางโรงหนังน่าจะริบอุปกรณ์พวกนี้ก่อนเข้าดูหนังก็จะดีมากๆ) ซึ่งบางทีก็มีหนังดีๆ มาวนฉายให้ดูอยู่เป็นประจำ อย่างเมื่อหลายวันก่อนที่ได้ดูเรื่อง The Iron Lady
เรื่องนี้เป็นชีวประวัติของ มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษครองตำแหน่งอยู่ในช่วง พ.ศ. 2522-2533 โดยถือว่าเป็น “รัฐสตรี” ร่วมสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอังกฤษ (และน่าจะของโลกด้วย) เพราะได้สร้างให้อังกฤษเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งขึ้นมากในช่วงเวลาดังกล่าวที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จนเธอได้รับการสรรเสริญว่าเป็น “สตรีเหล็ก” หรือ Iron Lady เจ้าของคำคม “ความคิดกำหนดชะตากรรม” อันเป็นชื่อของบทความวันนี้
มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ (สกุลเดิม โรเบิร์ต) เกิดเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2468 ในครอบครัวพ่อค้าของชำ ตามเรื่องบอกว่ามีแรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นนักการเมืองมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเห็นพวกผู้ชายชอบล้อเลียนเธอทั้งความเป็นผู้หญิงและอาชีพที่ธรรมดาๆ เธอจึงฟันฝ่าจนได้เข้าเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด หลังจากประกอบอาชีพทนายความอยู่ระยะหนึ่งก็ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรแต่ว่าผิดหวัง กระทั่งในปี พ.ศ. 2502 จึงประสบความสำเร็จ และไต่เต้าจนได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาและวิทยาศาสตร์ ใน พ.ศ. 2513 ซึ่งสิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จก็คือ “ความมุ่งมั่น” อันเกิดจากความคิดที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ และด้วยความมุ่งมั่นนี่เองที่ทำให้เธอดำเนินชีวิตด้วยความกล้าหาญ ที่แม้แต่ผู้ชายเต็มสภาก็ต้องยอมเธอ
ในช่วงก่อนที่เธอจะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟใน พ.ศ. 2518 ขณะนั้นพรรคคอนเซอร์เวทีฟกำลังทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน นำโดย เอ็ดเวิร์ด ฮีท เธอบอกว่าฮีทอ่อนแอเกินไปจึงขออาสาชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพียงเพื่อ “กระตุ้น” ให้นายฮีทเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม แต่สมาชิกพรรคกลับเลือกเธอขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคจริงๆ และทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านอย่างดุดันอยู่ถึง 4 ปี กระทั่งเธอชนะการเลือกตั้งในปี 2522 และพรรคคอนเซอร์เวทีฟได้เสียงข้างมาก ประเทศอังกฤษจึงได้นายกฯ หญิงคนแรกที่มีความสามารถมาก เช่น การสร้างระบบเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง ด้วยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและลดความแข็งขืนของสหภาพแรงงาน
เธอดำเนินนโยบายค่อนข้างจะอนุรักษนิยม ได้ทำสงครามชิงเกาะฟอล์กแลนด์คืนจากอาร์เจนตินา ทำให้เธอได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ใน พ.ศ. 2526 รวมทั้งภาพลักษณ์ของอังกฤษที่โดดเด่นมากในการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้เธอได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 ใน พ.ศ. 2530 เธอมีส่วนสำคัญในการเมืองโลกที่กำลังสิ้นสุดสงครามเย็นใน พ.ศ. 2533 แต่ว่านโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศกลับไม่ดีขึ้น ในปี 2533 นั้นเองเธอก็ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคซึ่งก็มีผลต่อการสิ้นสุดในตำแหน่งนายกฯ ในทันที แต่เธอก็ทำหน้าที่เป็น สส.มาอีก 2 ปี จากนั้นก็ได้รับพระราชทานฐานันดรเป็นขุนนางในตำแหน่ง Baroness และอยู่ในสภาขุนนางมาจนถึงปัจจุบัน
ในภาพยนตร์อาจจะดูไม่ค่อยสนุกเพราะคนเขียนบทตัดภาพไปมาระหว่างความจริงกับความคิดฝันทำให้ดูยาก ซึ่งก็คงเป็นเพราะอยากสะท้อนอนิจจังบางอย่างของชีวิต ซึ่งถ้าเป็นศาสนาพุทธก็คือ “ความเสื่อม” ทั้งเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมกาย และเสื่อมสังขาร เพราะในช่วงบั้นปลายของชีวิตที่แทตเชอร์เริ่มเป็นโรคความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) เธอมีภาพหลอนว่าสามี (เดนนิส แทตเชอร์) ที่ผูกพันกับเธอมาก (รู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ แต่งงานกันตั้งแต่เธออายุ 26 ปี กระทั่งตายจากเธอไปในปี 2546) มาพัวพันยุ่งย่ามกับเธออยู่ทุกขณะ ซึ่งเดนนิสนี่เองที่เป็นแรงผลักดันให้เธอทำอะไรก็ได้อย่างที่เธอมุ่งหวัง (คือตามใจภรรยามาก) อย่างที่เธอพูดตอนแต่งงานกันว่า “ฉันจะเป็นนักการเมืองนะ ไม่ได้เป็นเมียเธอ” แต่ทั้งคู่ก็รักกันมากโดยที่ไม่มีเรื่องมัวหมองในชีวิตสมรสเลย
ในฉากสำคัญของเรื่องตอนที่เธอประกาศสงครามชิงเกาะฟอล์กแลนด์กับอาร์เจนตินา เธอพูดกับรัฐมนตรีร่วมคณะและผู้บัญชาการเหล่าทัพที่ไม่เห็นด้วยกับการที่จะไปยึดเกาะเล็กๆ ทรัพยากรอะไรก็ไม่มี แถมยังอยู่ไกลกว่าครึ่งโลก และจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามหลายแสนล้านปอนด์ แต่ก็แพ้ความมุ่งมั่นของเธอ เธอได้กล่าวท่ามกลางคนเหล่านั้นว่า สิ่งที่เธอจะพูดต่อไปนี้คือสิ่งที่เธอคิดจะทำ และการกระทำนี้จะเป็นสิ่งที่กำหนดชะตากรรมของประเทศ เธอเชื่อว่าอังกฤษจะได้รับชัยชนะเพราะคนอังกฤษต้องการความ “ยิ่งใหญ่”(นั่นก็คือ “เกียรติยศและศักดิ์ศรี” อันเป็นแกนวัฒนธรรมหรือหลักยึดเหนี่ยวจิตใจของคนอังกฤษมานับพันๆ ปีนั่นเอง)
แม้เธอจะได้รับชื่อเสียงเป็นอย่างมากในสงครามฟอล์กแลนด์ และส่งให้เธอเป็นถึง “สตรีเหล็ก” ในเวทีระดับโลก แต่เธอก็มาตกม้าตายในเรื่องการต่างประเทศเช่นกัน คือในกรณีที่เธอจะนำอังกฤษเข้าร่วมด้วยกับสหภาพยุโรป ที่รัฐมนตรีร่วมคณะไม่เห็นด้วยและเห็นว่าจะนำความยุ่งยากต่างๆ มาสู่อังกฤษ กระทั่งเธอถูกยื่นญัตติซักฟอกและลาออกในปี 2533 ดังกล่าว กระนั้นในช่วงบั้นปลายของชีวิต (ที่หลงๆ ลืมๆ) เธอก็ยังเชื่อว่าสิ่งที่เธอทำไปนั้นถูกต้องแล้ว
บทความวันนี้ไม่ได้ต้องการที่จะเปรียบเทียบนายกฯ ของไทย (ที่มีลุคใหม่ว่ารำเซิ้งได้สวยงามมากพอๆ กับการเดินนำตรวจเหล่าทัพ ที่ว่ากันว่าเพราะเธอเป็นดรัมเมเยอร์มาก่อน) กับนายกฯ แทตเชอร์นี้แต่อย่างใด (เพราะเป็นคนละสปีซีส์ที่ไม่อาจจะจัดไฟลัมมาคู่เคียงกันได้) แต่ต้องการจะพูดถึงคนกรุงเทพฯ ที่กำลังจะต้องตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯ ในวันอาทิตย์สัปดาห์หน้านี้ (ซึ่งจะไม่ดีหากไปเขียนบทความโน้มน้าวในวันนั้น) ว่าคนที่ท่านกำลังคิดเลือกจะกำหนดชะตากรรมของท่าน เหมือนกับคติประจำใจของ ฯพณฯ แทตเชอร์ในการดำเนินชีวิตของท่านมากว่า 80 ปีนั้น
ตามทฤษฎีการเมืองที่ผู้เขียนศึกษามาด้วยตนเอง เชื่อว่าคนกรุงเทพฯ (ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มคนเมือง) เป็นพวก “ตรีจิต” คือมีความคิดแบ่งได้เป็น 3 ก้อน ในขณะที่คนในชนบท (ที่เป็นมวลชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ) มีแค่ 2 ก้อน หรือ “ทวิจิต” ก้อนที่ทั้งสองกลุ่มมีเหมือนกันก็คือ ก้อนผลประโยชน์ส่วนตนกับก้อนผลประโยชน์ของกลุ่ม (ไม่ใช่ของชุมชนหรือส่วนรวม เพราะหมายถึงกลุ่มใครกลุ่มมัน พวกใครพวกมัน) ซึ่งการเอาชนะใจคนส่วนมากในการเลือกตั้งจึงใช้แค่ “ผลประโยชน์” ที่ตรงกับความต้องการของบุคคลและของกลุ่มต่างๆ เท่านั้นก็เพียงพอ แต่ในการเลือกตั้งที่กรุงเทพฯ ต้องเจาะทะลุเข้าไปในก้อนที่ 3 นั่นก็คือ “ความหยิ่งจองหอง” ที่จะต้องกระชากด้วยกระแสหรือความแปลกใหม่และบรรยากาศการเมืองที่รุนแรง
คนพวกนี้มีชื่อว่า “เสียงข้างมากที่ยิ่งใหญ่” (ที่ฝรั่งเรียกว่า Silent Majority) เราลองกระชากใจคนเหล่านี้ชวนให้ออกมาเลือกตั้งให้มากๆ ถ้าไม่ชอบใครก็ออกมากาช่องไม่เลือกใครก็ได้ หรือกาให้ผู้สมัครอื่นๆ ให้มากๆ เพื่อตบหน้าผู้สมัครตัวเต็ง ที่สังกัดพรรคการเมืองใหญ่และคิดว่าพวกเขาใหญ่คับฟ้า ทั้งๆ ความจริงก็เป็นขี้ข้าของ “นายใหญ่” หรือ “นายหัว” เพียง 2 ขั้วเท่านั้น
ถ้าคิดจะเลือกคนให้มาต่อยกัน จะเลือก “แดง” กับ “น้ำเงิน” เหมือนเดิมก็ไม่เป็นไร


