posttoday

ลัทธิขงจื้อกำลังกลับมาทวงอิทธิพลในจีน

11 กุมภาพันธ์ 2556

เพิ่งจะพ้นผ่านเทศกาลปีใหม่ของชนเชื้อสายจีนไปหยกๆ แต่ผู้เขียนก็ขอถือโอกาสนี้อวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุขความสมหวัง และความเจริญรุ่งเรืองตลอดปีนี้อีกครั้งจากใจจริง และสัปดาห์นี้ขออนุญาตเขียนถึงเรื่องราวและอิทธิพลของลัทธิขงจื๊อในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ว่า ณ ปัจจุบันมีบทบาทและอิทธิพลมากน้อยแค่ไหนต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนจีนในประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 รองเพียงแค่สหรัฐ

เพิ่งจะพ้นผ่านเทศกาลปีใหม่ของชนเชื้อสายจีนไปหยกๆ แต่ผู้เขียนก็ขอถือโอกาสนี้อวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุขความสมหวัง และความเจริญรุ่งเรืองตลอดปีนี้อีกครั้งจากใจจริง และสัปดาห์นี้ขออนุญาตเขียนถึงเรื่องราวและอิทธิพลของลัทธิขงจื๊อในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ว่า ณ ปัจจุบันมีบทบาทและอิทธิพลมากน้อยแค่ไหนต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนจีนในประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 รองเพียงแค่สหรัฐ

ลัทธิขงจื๊อ ซึ่งบรรดานักวิชาการอีกหลายๆ ท่านเรียกชื่อเป็นอย่างอื่นได้อีก เช่น ความเชื่อขงจื๊อ หรือแม้แต่ศาสนาขงจื๊อ มีศาสดาชื่อว่า “ขงจื๊อ” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทั้งนักปราชญ์และอาจารย์ผู้โด่งดังและเป็นที่เคารพรักต่อบรรดาศิษยานุศิษย์ชาวจีนในสมัยศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล โดยขงจื๊อได้พัฒนาแนวคิดในการอบรมสั่งสอนประชาชนจีนจนกลายเป็นสถาบันทางความคิดที่เน้นเรื่องของพิธีการ ความสมานฉันท์ การให้ความสำคัญกับลำดับชั้นอาวุโสและการให้ความเคารพต่อผู้ที่อาวุโสกว่า โดยเฉพาะกับคนในตระกูลเดียวกัน

นอกจากนั้นแล้ว ขงจื๊อยังเน้นเรื่องของความเคารพต่ออำนาจและผู้ที่มีอำนาจ และยังมีความเชื่ออย่างแน่วแน่อีกว่าผู้นำทางสังคมไม่ควรที่จะมาจากการสืบทอดอำนาจผ่านทางความเป็นทายาท แต่ควรจะมาจากการคัดสรรบุคคลที่มีผลงานที่ดี ประสบผลสำเร็จ และเป็นที่ยอมรับในอดีต

ลัทธิขงจื๊อมาประสบกับสภาวะวิกฤตในช่วงประมาณปี 1973 ซึ่งเป็นช่วงปลายยุค “ปฏิวัติวัฒนธรรม” นำโดยกลุ่มบุคคลเล็กๆ ซึ่งมีภริยาของท่านผู้นำ เหมาเจ๋อตุง เป็นหัวหน้าคณะกวาดล้างเอาชีวิตบรรดานักปราชญ์ นักวิชาการ และผู้ที่มีความคิดสมัยใหม่อย่างรุนแรง มีการเผาวัดวาอารามที่ทำการเผยแผ่ลัทธิขงจื๊อและมีการเผาตำราที่รวบรวมคำสอนของขงจื๊อ โดยภาพรวมแล้วการต่อต้านลัทธิขงจื๊อในยุคนี้เป็นไปอย่างไร้ความปราณี และต้องการให้ลัทธิดังกล่าวหมดไปอย่างสิ้นซาก

กระนั้นก็ตาม อิทธิพลและสาระสำคัญของคำสอนจากลัทธิขงจื๊อยังคงมีบทบาทต่อจิตใจและแนวคิดของทั้งคนจีนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เอง และชาวจีนโพ้นทะเลที่ล่องเรือสำเภาไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศอื่นๆ ทั่วทวีปเอเชีย รวมทั้งชาวจีนที่ตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทย

การเริ่มกลับมามีบทบาทและอิทธิพลของลัทธิขงจื๊อเพิ่งจักเริ่มกลับมาเมื่อประมาณปี ค.ศ. 2001 ที่ผ่านมานี่เอง โดยเริ่มจากมีการตีพิมพ์และเผยแพร่หนังสือที่เป็นคำสอนของลัทธิขงจื๊อ โดยนักเขียนเลื่องชื่อชาวจีนที่ให้ความสำคัญกับลัทธิขงจื๊ออย่างไม่เสื่อมคลาย นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีการฉายภาพประวัติสำคัญและผลงานของศาสดาขงจื๊อตามโรงภาพยนตร์ในประเทศจีนอย่างกว้างขวาง มีการรณรงค์ให้เด็กนักเรียนหันมาอ่านตำราที่เป็นหลักคำสอนของศาสดาขงจื๊อกันตามโรงเรียนทั่วประเทศจีน และยิ่งไปกว่านั้นมีความพยายามผลักดันให้ลัทธิขงจื๊อกลายเป็นหลักการสำคัญ และเป็นแนวปฏิบัติด้านการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศจีนอีกด้วย

มีนักวิชาการหลายท่านจากหลายมหาวิทยาลัยในประเทศจีนได้เห็นพ้องต้องกัน และมีการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนต่างประเทศว่า ในด้านของเศรษฐศาสตร์แล้ว หลักคำสอนขงจื๊อเปรียบเสมือนหลักทฤษฎี “มือที่มองไม่เห็น” ของนักปราชญ์ตะวันตกอย่าง อาดัม สมิธ ในสมัยศตวรรษที่ 1819 นักวิชาการเหล่านั้นมีความเชื่อว่า ถ้าประชาชนใช้หลักคำสอนขงจื๊อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ความก้าวหน้า ความเจริญรุ่งเรืองด้านเงินทอง และความเป็นอยู่จะมีมาเอง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น “มือที่มองไม่เห็น” เข้ามาช่วย นอกจากนั้นแล้วพวกนักวิชาการกลุ่มเดียวกันยังมีความเชื่ออีกว่า เศรษฐกิจของจีนจะสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ด้วยตัวของมันเอง โดยปราศจากการแทรกแซงจากรัฐบาลจีน

นักวิชาการบางท่านจากมหาวิทยาลัยฟูดานถึงกับให้ความเห็นว่า ปัจจุบันไม่มีใครให้ความเชื่อถือในระบอบคอมมิวนิสต์อีกแล้ว แต่ในขณะเดียวกันระบบ “หนึ่งเสียงหนึ่งโหวต” ก็ยังปรากฏให้เห็นถึงความบกพร่องและไม่สมบูรณ์ โดยไม่สามารถทำให้การปกครองประเทศที่มีประชากรเป็นจำนวนมากมีประสิทธิภาพได้ นักวิชาการท่านเดียวกันเสนอแนะว่า ประเทศจีนควรจะใช้ระบบการปกครองแบบสภาคู่ โดยสภาผู้แทนราษฎรควรมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน และอีกสภาซึ่งเป็นสภาสูงควรจะมีการเลือกตั้งโดยกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถ และเป็นคนชั้นนำหรือพวกอีลิทของสังคม และกลุ่มคนที่เป็นคณะผู้เลือกตั้งควรเป็นกลุ่มคนที่มีประวัติทางการเมืองและสังคมที่ดีมีผลงานและต้องไม่มีประวัติด่างพร้อย

ปัจจุบันรัฐบาลจีนหันมาให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการรณรงค์ให้ประชาชนเชื่อถือและศรัทธาในลัทธิขงจื๊อมากยิ่งขึ้น เนื่องจากว่าสาระสำคัญของคำสอนยังคงเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อทั้งสังคมและประเทศจีน โดยเฉพาะด้านการทำให้สังคมชาวจีนมีความสมัครสมานกลมเกลียว รักใคร่และสามัคคีปรองดอง ถึงแม้ว่านักวิชาการตะวันตกบางสำนักจะกล่าวโจมตีรัฐบาลจีนว่า การให้ความสนับสนุนการกลับมาของบทบาทและอิทธิพลของขงจื๊อจะเป็นเพียงความพยายามไม่ให้ประชาชนชาวจีนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล และใช้ลัทธิขงจื๊อเป็นเครื่องมือในการตำหนิความเชื่อและคำสอนของชาติตะวันตกก็ตาม

สิ่งที่ผู้เขียนแนะนำก็คือ ผู้อ่านควรจะค้นคว้าเพิ่มเติมองค์ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีขงจื๊อเอาเอง เพื่อแต่งเติมความเข้าใจให้เกิดความสมบูรณ์โดยเฉพาะหลักคำสอนดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อทั้งตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติ ที่ท่านศาสดาขงจื๊อได้เน้นย้ำไว้หลายข้อในหลักคำสอนของท่าน ส่วนการที่คำสอนของขงจื๊อจะสามารถกลับมามีอิทธิพลและบทบาทต่อทั้งเศรษฐกิจและการเมืองของจีน ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยังห่างไกลความเป็นจริง แต่ก็ควรจะต้องจับตาดูว่า แนวร่วมความเคลื่อนไหวจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มากน้อยเพียงใดหรือเปล่า และที่สำคัญก็คือ รัฐบาลกลางของจีนจะให้ความสำคัญกับลัทธิขงจื๊อมากน้อยแค่ไหนเพียงไร

ข่าวล่าสุด

“สีหศักดิ์” เตรียมประชุมอาเซียนนัดพิเศษที่มาเลเซีย ถกปมกัมพูชา 22 ธ.ค.นี้