1 เม.ย.วันโกหกแห่งชาติของใคร
แม้จะพอเข้าใจได้ว่าวันโกหกแห่งชาติเป็นแค่คำพูดสนุกปากของแกนนำ แต่ถ้าคำนึงถึงความจริงที่ไม่ควรโกหกในเมื่อรัฐบาลไม่ได้กำหนดวันดังกล่าว ไว้ในสารบบปฏิทินให้สังคมยอมรับ
แม้จะพอเข้าใจได้ว่าวันโกหกแห่งชาติเป็นแค่คำพูดสนุกปากของแกนนำ แต่ถ้าคำนึงถึงความจริงที่ไม่ควรโกหกในเมื่อรัฐบาลไม่ได้กำหนดวันดังกล่าว ไว้ในสารบบปฏิทินให้สังคมยอมรับ
โดย ทีมข่าวการเมือง
นับเป็นความคิดอันเพริศแพร้วของ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ( นปช.) หรือคนเสื้อแดง อย่าง จตุพร พรหมพันธ์ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงความพยายามของรัฐบาลอยากให้มีการเปิดเจรจารอบสามเพื่อหาทางลงให้กลุ่มคนเสื้อแดง แม้แกนนำจะยังออกอาการมึนๆ เหวงๆ จะเอากันอย่างไรดี เพราะต้องรอคำตอบสุดท้ายจากนายใหญ่ก่อนว่าจะกลับลำเข้าสู่วงเจรจาหรือไม่ แต่สิ่งที่จตุพรคิดขึ้นได้อย่างปัจจุบันทันด่วนเห็นจะเป็นการบริหารวาทะ ด้วยการบอกว่า หากจะนัดหมายเจรจาวันที่ 1 เม.ย.คงเป็นไปไม่ได้ เพราะวันดังกล่าว เป็น ”วันโกหกแห่งชาติ” หรือ“วันตอแหลนานาชาติ”
ทั้งนี้การกำหนดวันสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะวันสำคัญแห่งชาติ มักจะเกิดขึ้นจากรัฐบาลเสนอความเห็นเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ออกมาเป็นมติครม.ด้วยการกำหนดลงไปในปฏิทิน ซึ่งจากการสำรวจวันสำคัญตลอดปี ไม่พบว่ามีการกำหนดวันที่ 1 เม.ย. ของทุกปีเป็นวันโกหกแห่งชาติ แต่กลับพบว่าที่มีการกำหนดไว้อย่างเป็นทางการก็คือวันดังกล่าวเป็นเป็นวันข้าราชการพลเรือนพลเรือน
ดังนั้นการที่จตุพรกล่าวขึ้นมาลอยๆ จริงอยู่ด้านหนึ่งอาจเป็นพฤติกรรมเหน็บแนม หรือหวังสร้างสีสันต์ผ่านหน้าสื่อ ด้วยการเอาธรรมเนียมฝรั่งที่ถือว่าวันดังกล่าวเป็น "วันเอพริลฟูลส์" ซึ่งเป็นวันที่จะอนุญาตให้โกหกต่อกันได้ เพื่อกระทบกระแทกรัฐบาลไม่จริงใจยุบสภาตามข้อเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดง เสมือนว่ารัฐบาลเชื่อไม่ได้ มีพฤติกรรมเข้าข่ายโกหก ตามที่แกนนำเสื้อแดงเข้าใจ
แต่ในพื้นที่ชุมนุมก็ดูจะจริงจังกับวันดังกล่าวอยู่ไม่น้อยเพราะเวลาที่แกนนำใส่ความคิดอะไรไปบรรดามวลชนมักยึดถือตามนั้น อย่างกรณีของ นพ.เหวง โตจิรการ แกนนำ นปช. ที่กำลังมีชื่อ ติดตลาด จากผลการเจรจาสองครั้งที่ผ่านมาด้วยลีลาพูดจาวกวน สับสน ยากที่จะเข้าใจ จนกลายเป็นศัพท์ใหม่ พูดจา ”เหวงๆ” ( พูดไม่รู้เรื่อง) กระหึ่มชุมชนออนไลน์บานปลายไปถึงสังคมวงกว้างก็ยังสร้างความครึกครื้นในหมู่ผู้ชุมนุมย่านผ่านฟ้าเช่นเดียวกันและเมื่อจตุพรกล่าวถึงวันที่ 1 เม.ย.จะเป็นวันโกหกแห่งชาติอีก ยิ่งทำให้สังคมผู้ชุมนุมออกมากล่าวขานถึงวันสำคัญนี้เช่นกัน จะมีกิจกรรรมขอขมา ล้างความโกหกแต่ละคนหรือไม่
มีการตีความกันยกใหญ่ในหมู่ผู้ชุมนุม เพราะนอกจากจะมองว่ารัฐบาลโกหกไม่น่าเชื่อถือ แต่สังคมผู้ชุมนุมที่กำลังทิ้งพื้นที่ จากความเสื่อมต่อแกนนำ ออกมาวิจารณ์อึ้งมี่ทำนองว่า สงสัยจะเป็นการฉลองพฤติกรรมการโกหกของเหล่าแกนนำ มีการขุดคุ้ยวีรกรรมออกมาวิพากษ์วิจารณ์สนุกปาก
ตั้งแต่การประกาศชุมนุมใหญ่ปีที่แล้ว ว่ามีคนมาเป็นล้านคน แต่ข้อมูลทั้งของฝ่ายแกนนำและรัฐบาลก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกันไม่เกินห้าหมื่นคน เช่นเดียวกับการชุมนุมใหญ่ครั้งล่าสุดของปีนี้ ระบุว่า มีคนเป็นล้านคน แต่เอาเข้าจริงอยู่ในระดับไม่เกินแสนคน หรือแม้แต่ประกาศจะชุมนุมใหญ่ระลอกสามในวันที่ 3 เม.ย. ว่าจะมาอีก 20 ล้านคน จะเป็นอีกกี่เท่าของครั้งแรก ครั้งที่สอง ก็คงปลุกขวัญกันไป อย่างการชุมนุมครั้งที่สองก็อ้างว่าจะมามากเป็นห้าเท่าของครั้งแรก ครั้งที่สามก็คงจะสิบเท่า ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า ล้านเท่า จนพื้นที่กทม.แทบไม่มีที่ยืน เพราะประชากรในกทม.ก็มีเกือบ 6 ล้านคน หากมาถึง 20 ล้านคน คงล้นเต็มถนน ไหลทะลักลงไปลอยคอเต็มแน่นแม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นสภาพความเป็นจริงจึงเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นไปไม่ได้เข้าข่าย “โกหกพกลม”
เหตุการณ์ช่วงเสิ้อแดงจลาจล ล้มประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนซัมมิท ที่พัทยา ซึ่งแกนนำหยิบยกกล่าวอ้างว่าเป็นฝีมือแดงเทียม ทั้งที่มี “กีร์ ระเบิดขวด “ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำนปช. บุกเข้าไปภายในโรงแรมพร้อมกับนั่งแถลงข่าวขับไล่นายกฯ หรือ กรณี ”แรมบ้าน้อย” สุพร อัตถาวงศ์ แกนนำสายฮาร์ดคอร์ อีกรายประกาศบนเวทีเสื้อแดงหน้าทำเนียบฯ ระดมพี่น้องเสื้อแดงบุกไปเอาชีวิตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่กระทรวงมหาดไทย จนเป็นเหตุให้มีการทุบรถ จนนิพนธ์ พร้อมพันธ์ อดีตเลขานายกฯ รวมถึง ฝ่ายรปภ.นายกฯได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายโดยมีณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำแดงจริง สอบสัมภาษณ์หลังเวที แล้วเอาไปประจานบนเวทีในเวลาต่อมา
พฤติกรรมของขบวนการคนเสื้อแดงในวันดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่านสายตาประชาชน แต่ถูกแกนนำมาแต่งตัวใหม่ให้เป็นแดงเทียม ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ “ถูไถโกหกไปได้”
หรือคำยืนกรานของจตุพร ระบุว่า นายกฯไม่อยู่ในรถขณะเข้ากระทรวงมหาดไทย แต่ผลการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระของสภา หรือช่างภาพจากสำนักข่าวต่างประเทศถ่ายจากมุมสูง ยืนยันว่า นายกฯอยู่ในรถ แต่สามารถนำมายัดเยียดโกหกกันต่อไป แต่แม้จะมีนายกฯอยู่หรือไม่อยู่ในรถ แกนนำมิเคยปริปากเลยว่า มีการทุบทำลายรถยนต์จริงหรือไม่ หรือภาพฟ้องอยู่แล้วจึงไม่กล้าโกหก จึงหันไปหาเหตุเรื่องอื่นกลบแทนความจริง อีกกรณีคือ คลิปเสียงนายกฯ ที่อ้างว่ามีคำสั่งทำร้ายประชาชน มีการพิสูจน์ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นคลิปเสียงตัดต่อและมีการฟ้องร้องกลายเป็นคดีในชั้นศาล แต่แกนนำคงพยายามนำมากล่าวบนเวทีให้ร้าย กลายเป็นความโกหกซ้ำซาก
กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน มีความพยายามย้ำถึงรูปแบบเคลื่อนไหว เน้นสงบสันติ ไม่รุนแรง แต่เอาเข้าจริง มีการละเมิดสิทธิ สร้างเรื่องที่ไม่ตรงความจริง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมปาถุงเลือดใส่บ้านพักนายกฯ การขึ้นปราศรัยปลุกระดมจะเอาเลือดหัวผู้นำประเทศ การปลุกประชาชนให้เตรียมขวดคนละใบ มาเอาน้ำมันก้าดที่กรุงเทพ การติดป้ายยัดเยียดให้คนกทม.เห็นด้วยกับการยุบสภา โดยที่ไม่ได้ขออนุญาติ กทม. แต่กลับบอกว่า สามารถติดได้อย่างอิสระเพราะเป็นรูปแบบสันติวิธี
กลายเป็นความงุนงงเหวงๆ ว่า การกระทำที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูดว่าสันติสงบ ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น อย่างนี้ โกหกหรือไม่
หลากหลายเรื่องราวหนักไปทางกล่าวหา ซ้ำร้ายเลยเถิดก้าวล่วงถึงสถาบันเบื้องสูงโดยขาดข้อมูลหลักฐานน่าเชื่อถือ ยิ่งทำให้หลายฝ่ายแสดงความห่วงใย พร้อมกับเอือมระอาเพราะ ไม่น่าเชื่อเลยว่า กล้านำสถาบันมาสร้างเป็นเรื่องโกหกให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสังคมชาติ
แม้จะพอเข้าใจได้ว่า “วันโกหกแห่งชาติ” เป็นแค่คำพูดสนุกปากของแกนนำ แต่ถ้าคำนึงถึงความจริงที่ไม่ควรโกหก ในเมื่อรัฐบาลไม่ได้กำหนดวันดังกล่าว ไว้ในสารบบปฏิทินให้สังคมยอมรับ ก็เห็นจะเป็นการสร้างการยอมรับในหมู่แกนนำเสื้อแดงเอง แต่ถ้าหากแกนนำเสื้อแดงออกมาบอกปัดไม่ได้กำหนดขึ้นเอง อย่างนี้เท่ากับโกหกตัวเอง (อีกแล้ว)