มองทวาย-จับตาโฉมใหม่เมืองกาณจน์
โดย...ปิยรัชต์ จงเจริญ
โดย...ปิยรัชต์ จงเจริญ
การเดินทางเยือนพื้นที่ ติดตามความคืบหน้าโครงการทางหลวงระหว่างประเทศสายกาญจนบุรีทวาย ซึ่ง สิงห์ ตั้งเจริญชัยชนะ ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคกลาง นำคณะนักธุรกิจไทยเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำ จากท่าอากาศยานดอนเมืองตรงไปยังทวาย โดยไม่ต้องแวะกรุงย่างกุ้ง เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา สร้างความตื่นตา ตื่นใจ แก้ผู้ร่วมคณะที่ได้เห็นความคืบหน้าของโครงการแสนล้าน ที่ว่ากันว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทั้งสองประเทศ
“ล่าสุดจะเห็นว่าทางหลวงระหว่างประเทศสายทวายกาญจนบุรี ได้ปรับเป็นถนนลูกรังบดอัดเรียบร้อยแล้ว และบริเวณจุดเริ่มก่อสร้างโครงการ จากท่าเรือน้ำลึกทวายหลักกิโลเมตรที่ 0 ก็ได้มีการพัฒนาไปในระดับหนึ่งแล้วเช่นกัน” สิงห์ เล่าถึงความคืบหน้าที่ได้ไปเห็นมาล่าสุด
แต่นอกเหนือจากความคืบหน้าในพื้นที่ทวาย สำหรับ จ.กาญจนบุรี ก็มีความคืบหน้า ซึ่งส่งผลต่อโฉมหน้าของเมืองเช่นกัน
สิงห์ บอกว่า ขณะนี้นักลงทุนในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ก็มีความเคลื่อนไหวกันคึกคัก ที่จะลงทุนทำธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต ระดับ 35 ดาว เพื่อรองรับการเปิดประตูเศรษฐกิจทางด้านตะวันตก เนื่องจาก จ.กาญจนบุรี เป็นเมืองหน้าด่านในโครงการทวาย
สิงห์ บอกว่า พื้นที่ 3 ทำเลทอง ที่นักลงทุนหมายตาจะเปิดโรงแรมและรีสอร์ตหรูประกอบด้วย เขต อ.เมืองกาญจนบุรี 2 แห่ง คือ ถนนบายพาส เลี่ยงเมือง) ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง และบริเวณริมแม่น้ำแม่กลอง ฝั่งทิศตะวันตก) ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนอีกพื้นที่หนึ่งคือริมแม่น้ำแควน้อย ช่วงระหว่างเส้นทางสายกาญจนบุรีอ.ไทรโยค
“นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของนักลงทุนจากภายนอกจังหวัด มาเตรียมลงทุนใน 2 รูปแบบด้วยกัน คือ 1.มาทำการซื้อกิจการโรงแรมและรีสอร์ตเก่า เพื่อพัฒนาปรับปรุงให้เป็นโรงแรมใหม่ โดยเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ครบครัน และยกระดับจากโรงแรมเดิมขึ้นเป็นโรงแรมในระดับมากกว่า 3 ดาวขึ้นไป และ 2.มาซื้อที่ดินและก่อสร้างโรงแรมใหม่ ระดับ 5 ดาวขึ้นไป โดยเน้นการจัดสร้างห้องประชุมขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้มากกว่า 1,000 คน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีโรงแรมใน จ.กาญจนบุรี ที่สามารถดำเนินการจัดการประชุมที่จะรองรับจำนวนคนได้ตามจำนวนดังกล่าวได้”
ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคกลาง คาดว่า ในช่วง 2 ปีนับจากนี้ คือระหว่างปี 2556-2558 จะมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมและรีสอร์ต ในระดับ 35 ดาวขึ้นไป ไม่ต่ำกว่า 5-6 แห่ง และจะมีเม็ดเงินลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจประเภทนี้นับพันล้านบาทเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนให้ความสนใจนำเงินมาลงทุนก่อสร้างเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ โดยจะดำเนินการก่อสร้างให้เป็นทั้งที่พักและที่ทำงานอยู่ภายในอาคารเดียวกัน เพื่อรองรับบริษัทต่างๆ ที่จะมาทำเกี่ยวกับเรื่องของการขนส่งหรือการทำเอกสารในการส่งสินค้าออกจากประเทศไทยไปยังเมืองทวายและท่าเรือน้ำลึกทวาย
“จะเห็นได้ว่าปัจจุบันได้มีบริษัทค้าวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่มาลงทุนเปิดกิจการเพื่อเตรียมพร้อมรับการขยายตัวทางด้านการก่อสร้างในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี แล้วเช่นกัน”
สำหรับทางด้านเมืองทวาย สิงห์ บอกว่า นักธุรกิจและหน่วยงานราชการเมียนมาร์มีความตื่นตัวเป็นอย่างยิ่ง โดยมีการย้ายข้าราชการจากเมืองมะริดให้มาอยู่ที่ทวายตั้งแต่ปี 2555 เพื่อเป็นศูนย์กลางรองรับการเปิดเป็นเมืองหน้าด่านท่าเรือน้ำลึก
ส่วนการสร้างบ้าน จำนวน 4,500 หลังคาเรือนให้กับราษฎรชาวพม่าใน 18 หมู่บ้าน 3,984 ครอบครัว รวม 23,120 คน ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบและต้องอพยพออกจากพื้นที่ที่จะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย ที่อยู่ในพื้นที่สัมปทานบนเนื้อที่ 204.1 ตารางกิโลเมตรเพื่อเป็นการเยียวยานั้น ได้มีการดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งเมืองทวายกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยทั้งภาครัฐและเอกชนต่างเร่งเดินหน้าพัฒนาในทุกๆ ด้าน
“ในส่วนของโรงแรมและที่พักในเมืองทวายกำลังมีการปรับปรุงและพัฒนาเช่นกัน เนื่องจากมีลูกค้าทั้งนักธุรกิจ นักลงทุน นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีโรงแรมที่สามารถรองรับได้เพียง 3 แห่ง รวม 65 ห้องเท่านั้น ปัจจุบันได้มีนักธุรกิจลงทุนก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ขึ้นอีก 4 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการก่อสร้าง ส่วนโรงแรมเดิมก็ได้มีการขยับขยายกิจการด้วยการก่อสร้างอาคารที่พักเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีร้านค้าและบริการต่างๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ซึ่งทำให้เมืองมีความเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด เพื่อรองรับผู้คนจากทั่วโลกที่กำลังหลั่งไหลเข้าไปเยือนเมืองทวายแห่งนี้”
แม้ทวายกาญจนบุรี จะเป็นเมืองคู่แฝดแห่งความหวังของการพัฒนาที่จะพลิกเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ของทั้งสองประเทศ แต่การก้าวเดินไปสู่ความหวังที่ว่านั้น ยังต้องฝ่าอุปสรรคอีกหลายด่าน


