posttoday

รัฐธรรมนูญแบบบ้องกัญชา

15 ธันวาคม 2555

“ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา”

“ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา”

ท่อนนำของเพลง “บ้องกัญชา” จากอดีตนักร้องดัง “กาเหว่า เสียงทอง” เมื่อสัก 40 ปีที่แล้ว ทำให้นึกถึงกระบวนการลากไถของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล ที่พยายามจะดึงดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งตอนแรกก็ดูทำท่าแบบ “ฅ.คนขึงขัง” แต่ตอนนี้กลายเป็น “ฆ.ระฆังข้างฝา” เพราะทำไปทำมาก็เหมือนจะชักเย่อกันไปไม่จบสิ้น จนน่ากลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องตลกในที่สุด

เมื่อเดือน ส.ค. 2554 ที่รัฐบาลชุดนี้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ได้ประกาศอย่างขาสั่นๆ ว่าจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่ได้หาเสียงไว้จนชนะเลือกตั้งมาอย่างท่วมท้น (ก็เช่นเดียวกันกับนโยบายอื่นๆ ทั้งหลายที่ดึงดันหน้ามืดทำอยู่ ก็ล้วนแต่อ้างว่าทำตามที่ได้หาเสียงไว้ทั้งสิ้น) โดยรองนายกฯ ผู้ทำหน้าที่เป็นกระจับให้รัฐบาลได้ออกมารับหน้าเสื่อว่า จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ซึ่งตอนนั้นได้ใจบรรดาคนเสื้อแดงเป็นอย่างยิ่ง

ไม่กี่เดือนต่อมาจากนั้น คนเสื้อแดงก็เย้วๆ เรียกร้องให้รัฐบาลรีบๆ ดำเนินการเสีย แต่ทีนี้ “กระจับรัฐบาล” คนเดิมก็ตีกรรเชียงตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า กำลังพิจารณาอยู่ด้วยความรอบคอบ จนแกนนำคนเสื้อแดงอย่างหมอคนหนึ่ง (ที่ชื่อของแกมีนัยแปลว่า “ความว่างเปล่าโหวงเหวง”) ต้องนำขบวนไปบีบรัฐสภาเนื่องจากได้ยื่นรายชื่อประชาชนจำนวนหลายหมื่นขอแก้ไว้แล้ว รัฐบาลจึงต้องตกกระไดพลอยโจนงกๆ เงิ่นๆ นำเสนอตามน้ำเข้ามาเพื่อไม่ให้เสียหน้า

นั่นคือเหตุการณ์ในตอนกลางปี 2555 ที่เรื่องนี้ถูกนำมาชักเย่ออยู่ในสภาเป็นเวลากว่า 2 เดือน จนฝ่ายต่อต้านได้นำเรื่องไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ที่สุดศาลรัฐธรรมนูญได้ตักเตือนว่าไม่ควรจะถูลู่ถูกังแก้ไข เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2550 ที่จะถูกแก้ไขนั้นได้ผ่านการทำประชามติมา การข่มขืนแก้ไขโดยเสียงข้างมากที่ดูไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าใดนักจึงไม่สมควร หรือถ้าอยากจะแก้ก็ต้องไปทำประชามติเสียหน่อย เรื่องนี้จึงยังค้างคาอยู่ในสภาจนถึงทุกวันนี้

สองสามสัปดาห์มานี้ รัฐบาลดูขึงขังเป็นพิเศษ ยืนยันว่าจะเสนอให้มีการลงมติในวาระ 3 ที่ยังค้างคาอยู่นั้นในทันทีที่เปิดประชุมรัฐสภา ที่กำหนดไว้วันที่ 21 ธ.ค.นี้ (นี่แหละวันโลกาวินาศที่แท้จริง) ทว่า “กระจับรัฐบาล” คนเดิมก็ออกมาแย็บๆ ขัดขาไว้ว่าน่าจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ บางทีอาจจะต้องแก้เพียงบางมาตรา ในขณะที่นายกรัฐมนตรีคนสวยออกมาปฏิเสธ “บ่ฮู้ บ่หัน” ไม่ทราบว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่ เพราะเรื่องนี้อยู่ในสภา (ที่หนูไม่สนใจอยู่แล้ว) ตรงกันข้ามกับพี่ชายที่ตอนนี้มีฉายาใหม่ว่า “ฉกฉวย ณ สนามมวย” ที่หนุนคุณกระจับว่าจะต้องดูทิศทางลมให้ดี ซึ่งบางทีอาจจะต้องทำประชามติ จนล่าสุดเมื่อกลางสัปดาห์นี้น้องสาวก็พยักหน้าขาวๆ เห็นด้วยว่า “ควรทำประชามตินะคร้า”

รัฐธรรมนูญแบบบ้องกัญชา

 

ในกระบวนการที่หลายคนหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องลากถูไถการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จนี้ มีกิจกรรมอย่างหนึ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำที่หลายคนก็ยังสับสนว่าจะให้เรียกว่าอะไรกันแน่ คือรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยไปออกแบบรูปแบบการรับฟังความคิดเห็นเพื่อที่จะโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่แรกก็เรียกคลุมๆ ว่า การทำประชาพิจารณ์ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยก็ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งไปวางแผนจัดการมา ที่ฟังดูเหมือนจะให้เรียกว่า “เวทีประชาชน” แต่บางคนก็เรียกว่า “เวทีโฆษณาชวนเชื่อ” เพราะกระบวนกิจกรรมดูจะส่อไปในแนวนั้น และนี่เมื่อรัฐบาลกลับลำจะต้องมาทำประชามติ ก็ไม่รู้ว่ากิจกรรมที่วางแผนไว้จะต้องมีการปรับตัว “เปลี่ยนสี” ตามไปด้วยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หากจะต้องทำประชามติ กูรูการเมืองผู้กล้าฉีกบัตรเลือกตั้งประท้วงการข่มขืนให้มีการเลือกตั้งเมื่อต้นปี 2549 นามว่า “ไชยันต์ ไชยพร” ได้ให้สัมภาษณ์แก่โพสต์ทูเดย์เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะเป็น “งานหินศึกหนัก” ของรัฐบาล เพราะตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2552 ได้วางทุ่นระเบิดไว้ถึง 2 ลูก คือ

หนึ่ง จะต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเพื่อลงประชามติไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิ นั่นก็คือถ้าใช้ฐานผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ที่มีจำนวน 46 ล้านเสียง ก็ต้องมีผู้มาใช้สิทธิเกิน 23 ล้านเสียง แต่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยมีเพียง 15 ล้านเสียง หรือหากจะร่วมกับของพรรคร่าน เอ๊ย พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ก็ไม่น่าจะถึง 23 ล้านเสียง

สอง แม้จะลากคนมาใช้สิทธิได้เกินกว่า 23 ล้านคน แต่ พ.ร.บ.ประชามติก็ระบุไว้อีกว่าจะต้องมีการลงมติรับรองเกินกึ่งหนึ่ง นั่นก็หมายความว่าต้องใช้เสียงถึง 12.5 ล้านเสียง ซึ่งก็มั่นใจไม่ได้ว่า 15 ล้านเสียงของพรรคเพื่อไทยจะมาใช้สิทธิทั้งหมดนั้นหรือไม่ ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านก็ต้องระดมคนออกมาคัดค้าน จึงไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะมีชัยชนะได้โดยง่ายหรือไม่ เพราะตัวแปรที่สำคัญและไม่ควรจะมองข้ามก็คือ “พลังเงียบ” หรือเสียงที่อยู่กลางๆ

นั่นก็คือสิ่งที่กูรูไชยันต์ท่านพยากรณ์ไว้ว่า พลังเสียงที่อยู่กลางๆ นั่นแหละคือตัวแปร พลังกลุ่มนี้แม้จะได้ชื่อว่า “พลังเงียบ” ที่ไม่ค่อยแสดงบทบาทอะไรมากนักในทางการเมือง แต่ก็เป็นคนกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด และมักจะพลิกผันโชคชะตาของบ้านเมืองได้บ่อยๆ คือเมื่อถึงเวลาที่จะออกเสียงในเรื่องสำคัญๆ แล้วละก็ คนพวกนี้จะพรั่งพรูแสดงพลังออกมาทันที พร้อมที่จะตัดสินหรือกำหนดทิศทางการเมืองได้ในฉับพลันอย่างที่ไม่อาจจะคาดคิด

สรุปได้ว่า การลากไถเพื่อจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้จะต้องพบกับปัญหาใหญ่หลายประการ ดังนี้ กู(ไม่)รูอย่างผู้เขียนจึงฟันธงว่า ความขึงขังดึงดันที่เป็นอยู่ในขณะนี้ในที่สุดก็จะค่อยๆ อ่อนตัวยวบยาบลง ความคาดหวังที่สวยหรูของรัฐบาลและคนที่เชียร์นายฉกฉวย ณ สนามมวย ก็จะเริ่มเหี่ยวเฉา แล้วค่อยๆ เหงาเงียบ จนราบเรียบสิ้นหวังกลายเป็นศูนย์ ท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลก็จะไม่ลากไถขับเคลื่อน หรือเอาตัวรอดเมื่อไม่เห็นหนทางที่จะชนะ และยิ่งเห็นว่าจะมีหายนะอื่นๆ ออกมาถล่มก็จะต้องหลบเลี่ยง หนทางที่ง่ายที่สุดคือล้มเลิกการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเสีย

ความจริงนั้นในปีหน้าหายนะต่างๆ กำลังรอต้อนรับรัฐบาลอยู่หลายเรื่อง ที่ผู้เขียนเห็นว่า “น่ากลัวที่สุด” ก็คือการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในตอนกลางเดือน ก.พ.ปีหน้า ซึ่งก็จะต้องมีการสมัครเป็นแคนดิเดตในตอนกลางเดือน ม.ค. หรืออีกเพียงเดือนเดียวที่กำลังจะถึงนี้แล้ว แต่พรรคใหญ่ทั้งสองพรรคต่างก็อุบไต๋ไม่มีความชัดเจนในตัวผู้สมัครอะไรเลย บ้างก็ว่าไม่อยากจะเปิดไพ่ให้คู่ต่อสู้รู้ แต่ที่ผู้เขียนมีความเชื่อในทางส่วนตัวก็คือ พรรคการเมืองทั้งสองยังขัดแย้งกันอยู่ภายใน ที่น่าจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ไปอย่างต่อเนื่อง

พรรคเพื่อไทยดูจะมีปัญหามากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีเพียงปัญหาเดียวคือทำอย่างไรจะบีบให้คุณชายสุขุมพันธุ์ที่เป็นผู้ว่าฯ มาครบเทอมนี้แล้วนั้นยอมสละเก้าอี้ให้คนอื่นมาลงสมัครแทน เนื่องจากคุณชายมีปัญหาในการบริหารงานอยู่พอควรที่อาจจะเป็นเป้าให้คู่ต่อสู้โจมตีได้ง่าย แต่ถ้าเปลี่ยนตัวก็จะได้เปรียบ เพราะยังจะถูไถแก้ตัวได้ว่าขอส่งคนใหม่มาเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งจะแก้ปัญหา “เบื่อง่าย หน่ายเร็ว” ของคนกรุงเทพฯ นั้นให้ได้เสียก่อน

แต่ปัญหาของพรรคเพื่อไทยมันพัลวันพัลเกน่าเวียนหัวมากกว่า เนื่องจากมีหลายก๊กหลายก๊วนที่คิดจะใช้สนาม กทม.สร้างบารมีฟื้นฟูอำนาจในพรรค เว้นแต่ว่าคุณกระจับ ฝั่งธนฯ จะยอมให้กับคุณหญิงวังทองหลาง แต่นั่นแหละท้ายที่สุดก็จะอยู่ที่การตัดสินใจของนายฉกฉวย ณ สนามมวย ผู้เร่ร่อนไปรอบโลก ว่าจะรักษาน้ำใจนายกระจับผู้มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองดูแลน้องสาว หรือจะตามใจอดีตคนรู้ใจให้ช่วยรักษาฐานใน กทม.ต่อไป

หรือว่าปีหน้านี้พรรคเพื่อไทยจะมีอันเป็นไป?

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025