ไป'ระลึกชาติ'ที่ศรีลังกา(2)
แม้ขบวนการพยัคฆ์ทมิฬอีแลมจะถูกปราบปรามจนถือว่า “สิ้นซาก” โดยรัฐบาลเป็นฝ่ายได้ชัยชนะเด็ดขาดไปแล้ว
แม้ขบวนการพยัคฆ์ทมิฬอีแลมจะถูกปราบปรามจนถือว่า “สิ้นซาก” โดยรัฐบาลเป็นฝ่ายได้ชัยชนะเด็ดขาดไปแล้ว
โดย...นพ.วิชัย โชควิวัฒน
แม้ขบวนการพยัคฆ์ทมิฬอีแลมจะถูกปราบปรามจนถือว่า “สิ้นซาก” โดยรัฐบาลเป็นฝ่ายได้ชัยชนะเด็ดขาดไปแล้ว และคนโดยมากเชื่อว่าฝ่าย “ขบถ” คงยากจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ยังไม่มั่นใจ
ทั้งนี้ เพราะตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 2,300 ปี (ลังกามีบันทึกประวัติศาสตร์เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1 เป็นต้นมา) จนกระทั่งเสียเอกราชให้แก่อังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2358 นั้น มีกษัตริย์ราชวงศ์ต่างๆ ครองลังกามารวมทั้งสิ้นกว่า 200 รัชกาล ในจำนวนทั้งหมดนี้เป็นกษัตริย์ชาติทมิฬ หรือตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรทมิฬอยู่กว่า 20 รัชกาล เป็นเวลายาวนานกว่า 300 ปี
โดยเริ่มจากเมื่อกษัตริย์ลังกาทรงรับนับถือพระพุทธศาสนา ในรัชสมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ (พ.ศ. 293-333) หลังจากนั้นเพียง 3 รัชกาล รวมเวลา 30 ปี ฝ่ายทมิฬซึ่งแม้มีจำนวนน้อยกว่ามาก แต่ก็สามารถเข้ายึดครองลังกาไว้ได้ โดยช่วงแรกสามารถสืบราชวงศ์ทมิฬมาได้รวม 3 รัชกาล เป็นเวลารวม 19 ปี ฝ่ายสิงหลจึง “กู้เอกราช” คืนได้ โดยพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของลังกา คือ พระเจ้าทุฏฐคามณี (พ.ศ. 382-406) ซึ่งทรงกระทำยุทธหัตถีชนะกษัตริย์ทมิฬ หลังจากนั้นได้มีกษัตริย์สิงหลสืบทอดอำนาจต่อมาได้อีกเพียง 5 รัชกาล รวมเวลาทั้งสิ้น 58 ปี ก็ “เสียเมือง” ให้แก่ฝ่ายทมิฬอีก คราวนี้ฝ่ายทมิฬสามารถยึดครองอยู่ได้รวม 14 ปี โดยมีกษัตริย์ในช่วงนี้ถึง 5 พระองค์ และต่อมาฝ่ายทมิฬยังสามารถยึดครองลังกาได้อีกในช่วง พ.ศ. 1572-1598 รวมเวลา 26 ปี นอกจากนั้นในบางช่วงบ้านเมืองยังแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ โดยบางพื้นที่ตกอยู่ในการครอบครองของกษัตริย์ทมิฬ
ชนชาติสิงหลและชนชาติทมิฬจึงมีประวัติศาสตร์การต่อสู้ที่ขมขื่นมาอย่างยาวนานบนแผ่นดินลังกาและโดยที่เอกสารสำคัญที่บันทึกประวัติศาสตร์ของลังกาที่ฝ่ายไทยได้รับรู้ ล้วนเป็นเอกสารจากฝ่ายสิงหลซึ่งเป็นชาวพุทธทั้งสิ้น ฝ่ายทมิฬซึ่งเป็นฮินดูจึงมีสถานะเป็น “ผู้รุกราน” เป็นพวก “มิจฉาทิฐิ” และเป็นพวกล้มล้างทำลายพระพุทธศาสนา คำว่า “ทมิฬ” ในความรับรู้ของคนไทยจึงมีความหมายในทางเลวร้าย เช่น เรียกคนที่มีใจคอโหดร้ายว่าเป็นพวก “ทมิฬหินชาติ” เมื่อมีขบวนการก่อการร้ายชื่อ “Black September” ภาษาไทยจึงเรียกกลุ่มนี้ว่า “กันยายนทมิฬ” และเมื่อเกิดเหตุรุนแรงในประเทศไทยจนมีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก เมื่อเดือน พ.ค. 2535 สื่อมวลชนและคนทั่วไปจึงเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า “พฤษภาทมิฬ” จนกระทั่งนักประวัติศาสตร์คนสำคัญคือ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ทักว่าเป็นการนำคำว่า “ทมิฬ” มาใช้ในลักษณะ “อคติทางเชื้อชาติ” และเสนอให้เปลี่ยนเป็น “พฤษภามหาโหด” แทน
การที่ชนชาวทมิฬ ซึ่งเป็นคนต่างชาติ ต่างภาษาและต่างศาสนา รวมทั้งเป็นประชากรส่วนน้อย สามารถเข้ามายึดครองประเทศได้เป็นระยะๆ จนสามารถตั้งราชวงศ์ปกครองประเทศได้หลายช่วงเป็นเวลายาวนานกว่า 300 ปี ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา แม้ชาวทมิฬจะไม่ใช่ชนชาติเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษ สเปน โปรตุเกส หรือ ฮอลันดา ที่มีเทคโนโลยีและจัดเจนในการใช้ “อุบาย” ที่เหนือกว่าก็ตาม เมื่อรวมตัวกันต่อสู้จนเกิดเป็น “ขบวนการพยัคฆ์ทมิฬอีแลม” ก็สามารถต่อสู้ยืดเยื้อยาวนานได้เกือบ 30 ปี สามารถสั่นคลอนความมั่นคงของประเทศและตั้งข้อเรียกร้องขอแยกดินแดนเป็นอิสระ จนรัฐบาลต้องยอมให้มีการ “เจรจาสันติภาพ” ถึง 4 ครั้ง และต้องมีคนกลางจากนานาชาติเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย ที่สำคัญรัฐบาลต้องเจรจากับรัฐบาลอินเดียให้ส่งกองกำลัง “รักษาสันติภาพ” จากอินเดียเข้ามาช่วยปราบปราม ซึ่งฝ่ายขบถก็สามารถ “แก้แค้น” โดยการลอบสังหารผู้นำอินเดียคือ นายราชีพ คานธี จนถึงแก่อสัญกรรมไป การที่รัฐบาลสามารถปราบปรามฝ่ายขบถจนราบคาบ จึงย่อมประมาทไม่ได้
ทั้งนี้ เพราะสงครามกลางเมืองได้สร้างบาดแผลไว้ให้แก่ผู้คนมากมาย มีคนตายไปราว 6 หมื่น-1 แสนคน ช่วงสงครามแตกหักมีคนต้องอพยพหนีภัยสงครามราว 2.94 แสนคน และเชื่อว่ามีพลเรือนชาวทมิฬตายไปในช่วงดังกล่าวราว 4 หมื่นคน ปัญหาชนกลุ่มน้อยชาวทมิฬจึงยังคงเป็นปัญหาละเอียดอ่อนที่รัฐบาลประมาทไม่ได้
ผู้นำประเทศคนปัจจุบัน คือ นายมหินทา ราชปักเษ (ราชปักเษ แปลว่า ผู้ภักดีต่อพระราชา มิใช่ ราชปักษี ซึ่งแปลว่า ราชาแห่งนก) เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง มีประวัติทางการเมืองที่โดดเด่นมาตั้งแต่ยังหนุ่ม สามารถทำสงครามได้ชัยชนะเด็ดขาดต่อฝ่ายขบถในช่วงเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 โดยรัฐธรรมนูญศรีลังกากำหนดให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย สมัยละ 6 ปี ขณะนี้เหลือเวลาอีก 4 ปีเศษ แต่เชื่อว่าแม้พ้นตำแหน่งแล้วผู้จะมาสืบทอดอำนาจต่อก็เป็นเครือญาติของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไว้ได้เบ็ดเสร็จ ไม่มีทีท่าว่ากลุ่มการเมืองใดจะขึ้นมาทาบรัศมีได้ แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นยุคที่มีคอร์รัปชันสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน เพราะฝ่ายค้านอ่อนแอมากก็ตาม
ปัจจุบันชาวสิงหลและชาวทมิฬอยู่กันอย่างสันติ ตามสถานที่ราชการและร้านรวงทั่วไป จะมีชื่อเป็น 3 ภาษา คือ สิงหล ทมิฬ และอังกฤษ เศรษฐกิจของประเทศกำลัง “ตั้งลำ” น่าสังเกตว่าชาวสิงหลยังรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมบางประการเอาไว้ กล่าวคือ นอกจากสตรีชาวลังกาจำนวนมากยังแต่งส่าหรีแล้ว เมื่อผู้เขียนได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรับรองที่บ้านนายกแพทยสมาคมศรีลังกาซึ่งเป็นรองประธานโรงแรมกอลล์เฟศ ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ริมทะเลในกรุงโคลัมโบ ทุกคนยังเปิบข้าวด้วยมือบนโต๊ะอาหารขณะรับประทานร่วมกับแขกต่างชาติ
ที่น่าประทับใจที่สุดคือ เจ้าภาพการประชุมครั้งนี้มอบซิมการ์ดโทรศัพท์มูลค่า 250 รูปี ให้ผู้เข้าประชุมได้ใช้ คิดเป็นเงินไทยราว 60 บาทเท่านั้น แต่สามารถใช้โทรศัพท์ติดต่อในศรีลังกาได้ 3-4 ครั้ง และโทรศัพท์กลับเมืองไทยสั้นๆ ได้ 4 ครั้ง เงินยังไม่หมด


