ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนกับความรับผิดในทางอาญา
ช่วงนี้มีคนพูดกันถึงประเด็นความรับผิดในทางอาญาเกี่ยวกับการฆ่าคนตายโดยเจตนา สืบเนื่องกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งข้อหาการฆ่าคนตายโดยเจตนาเอากับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ นอกจากนั้นก็ยังมีประปรายในระดับโทษอื่น เช่น เรื่องการวางเพลิง เผาทรัพย์ ทำลายทรัพย์
ช่วงนี้มีคนพูดกันถึงประเด็นความรับผิดในทางอาญาเกี่ยวกับการฆ่าคนตายโดยเจตนา สืบเนื่องกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งข้อหาการฆ่าคนตายโดยเจตนาเอากับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ นอกจากนั้นก็ยังมีประปรายในระดับโทษอื่น เช่น เรื่องการวางเพลิง เผาทรัพย์ ทำลายทรัพย์
โดยทั่วไปคนจะถือว่ามีความผิด และ/หรือจะต้องรับโทษก็จะต้องปรากฏว่าไปทำอะไรในสิ่งที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด และ/หรือต้องรับโทษ หรือกฎหมายห้าม แล้วไปขืนทำ ก็จะต้องมีความรับผิดหรือจะต้องรับโทษตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายหนึ่งที่เราหยิบยกกันมาถกอยู่เป็นประจำถึงความรับผิดและโทษของบุคคล คือ ประมวลกฎหมายอาญา
ในเรื่องเบื้องต้นของความรับผิดในทางอาญานั้น มาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายอาญาก็กำหนดว่า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา”
มาตราดังกล่าวยังได้บัญญัติต่อไปว่า “กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น” แต่ “ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้”
ส่วนเรื่อง “การกระทำโดยประมาท” นั้น มาตรา 59 ดังกล่าวระบุว่า “ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”
อีกทั้งมาตรานี้ยังกำหนดให้ “การกระทำ” หมายความรวมถึง “การให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”
อาจจะพูดทีเล่นทีจริงกันว่า “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด” และก็มักจะเอาวลีดังกล่าวมาใช้กับเรื่องกฎบทกฎหมายกันด้วย แต่มาตรา 64 ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้ แต่ถ้าศาลเห็นว่า ตามสภาพและพฤติการณ์ ผู้กระทำความผิดอาจจะไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด ศาลอาจอนุญาตให้แสดงพยานหลักฐานต่อศาล และถ้าศาลเชื่อว่าผู้กระทำไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”
ในประเด็นของการมีผู้ร่วมกระทำการหรืองดเว้นกระทำการกันนี้ มาตรา 83 ประมวลกฎหมายอาญากำหนดว่า“ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”
นอกจากนั้น มาตรา 84 ของกฎหมายเดียวกันยังบัญญัติว่า “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด” “ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”
นอกเหนือจากการเป็นผู้ไปก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดดังที่ได้กล่าวไปในมาตรา 84 แล้ว มาตรา 86 ประมวลกฎหมายอาญายังกำหนดให้ผู้ที่ “กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”
โดยรวมแล้วมาตรา 83 มาตรา 84 และมาตรา 86 มักจะเรียกรวมกันว่าเป็นเรื่องของ “ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน” ซึ่งก็เป็นหลักการในการพิจารณาความรับผิดในทางอาญาของบุคคล ซึ่งคงจะไม่ได้มีเวลาอธิบายกันในวาระนี้ จริงๆ ยังมีเรื่องของการโฆษณา หรือการประกาศให้คนกระทำความผิดอีกที่น่าสนใจที่จะคุยกัน คราวต่อๆ ไป คงจะได้มีโอกาสถก อภิปรายกันนะครับ


