posttoday

สิทธิของฉันสิทธิของเรา

01 ธันวาคม 2555

มีใครสงสัยไหมว่า ทำไมในสภาเขาจึงปล่อยให้มีการแสดงความประพฤติอันไม่เหมาะสมต่างๆ

มีใครสงสัยไหมว่า ทำไมในสภาเขาจึงปล่อยให้มีการแสดงความประพฤติอันไม่เหมาะสมต่างๆ

ทั้งที่ก็มีกฎข้อบังคับของสภากำหนดไว้เป็นข้อห้ามอย่างชัดเจน โดยผู้ที่ฝ่าฝืนเหล่านั้นอ้างอยู่คำเดียวว่า “เป็นสิทธิ” ของเขา ทำไม “สิทธิ” เหล่านั้นจึงยิ่งใหญ่เหนือกฎระเบียบทั้งหลาย ใครกันเล่าที่จะเป็นผู้บอกว่าสิทธิดังกล่าวถูกต้องเหมาะสมหรือไม่

สิทธิ มาจากคำภาษาอังกฤษว่า Rightที่เราแปลกันโดยปกติว่า “ถูกต้อง” หรือ “ใช่แล้ว” เช่น มีคนมาชมว่าเราหน้าตาดี “You are very handsome.” เราก็ตอบด้วยความมั่นใจว่า “All right, thank you very much.” แปลว่า “ถูกต้องแล้ว (ใช่แล้ว) ครับ ขอบคุณมากครับ” แต่ความจริงนั้น Right คำนี้เป็นภาษากฎหมาย หมายถึง ประโยชน์หรืออำนาจของบุคคลที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองมิให้มีการละเมิด สิทธิโดยทั่วไปนั้นมักจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวหรืออยู่ที่คนแต่ละคนนั้นเป็นสำคัญ ที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “สิทธิมนุษยชน” แต่ต่อมาก็ขยายความไปถึงสิทธิที่ต้องมีร่วมกับผู้อื่นอีกด้วย เช่น สิทธิพลเมือง และสิทธิชุมชน เป็นต้น

สิทธิจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้ามนุษย์ไม่รู้สึกตัวว่าตนเองกำลังถูกกดขี่ข่มเหงหรือมีคนอื่นมาเอารัดเอาเปรียบ ย้อนไปในสังคมฝรั่งยุคกรีกและโรมันก็ไม่ใคร่มีใครเดือดร้อนที่จะเรียกร้องหรือทวงสิทธิต่างๆ เพราะในยุคกรีกคนส่วนใหญ่ยังพอจะมีเสรีภาพอยู่พอสมควร (ยกเว้นพวกทาสและผู้รับใช้) ดังจะเห็นได้ว่าเพลโตและอริสโตเติลไม่ได้กล่าวถึงความเดือดร้อนในเรื่องนี้เลย เช่นเดียวกันกับยุคการปกครองของโรมัน ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเผด็จการ ก็ไม่มีใครที่จะกล้าเอ่ยปากเผยความคับข้องใจในเรื่องดังกล่าว ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าคนในยุคนั้นยังไม่รู้ว่าสิทธิคืออะไร

ล่วงเลยมาจนถึงยุคที่เรียกว่า “แสงสว่างแห่งปัญญา” ที่ฝรั่งเรียกว่า Enlightenment ที่ผู้เขียนขอเรียกว่า “ยุคของการโต้เถียงกับพระเจ้า” เพราะหลังจากยุคโรมัน ยุโรปก็ถูกปกคลุมด้วยศรัทธาในศาสนาคริสต์ กลายเป็นดินแดนที่ปกครองด้วยสังฆมนตรีที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม สังฆมนตรีเหล่านั้นอ้างสิทธิที่พระเจ้ามอบให้ในการที่จะสถาปนาผู้ปกครองในแว่นแคว้นและอาณาจักรต่างๆ ความคิดความเชื่อทั้งหลายถูกปิดกั้นให้เชื่อให้ฟังในพระผู้เป็นเจ้า (ที่มีสังฆมนตรีเป็นสื่อกลาง) เท่านั้น ความรู้และสรรพวิทยาการทั้งหลายต้องได้รับการรับรอง หรือการสั่งสอนเรียนรู้ต้องมาจากพวกพระเท่านั้น ตำราประวัติศาสตร์จึงเรียกช่วงเวลานี้ว่า “ยุคมืด” โดยมีนัยว่าเป็นยุคที่อับแสงทางปัญญา ดังนั้นเมื่อมีผู้ที่กล้าท้าทายความรู้ที่นอกเหนือไปจากความรู้ที่พระได้สั่งสอน จึงเกิดความรู้ใหม่ๆ สร้างให้สังคมเจริญก้าวหน้า จึงเรียกว่า Enlightenment ดังกล่าว

สิทธิของฉันสิทธิของเรา

 

ในทางวิชารัฐศาสตร์โดยกบฏทางความคิด ชาวอิตาลีอย่าง แมคเคียเวลลี ผู้ไม่เชื่อว่าอำนาจของพระเจ้านั้นจะมีอย่างล้นเหลือ (นี่ก็เป็นความฉลาดของ แมคเคียเวลลี แทนที่จะพูดว่าอำนาจของพระเจ้าไม่มีอยู่จริง ก็อ้อมไปเป็นว่า “มีแต่ไม่มาก” ดังกล่าว เพราะยุคนั้นถ้าใครทะเลาะกับพระเจ้าก็จะพบจุดจบอันน่าอนาถต่างๆ เช่น กาลิเลโอ ที่บอกว่าโลกกลม ในขณะที่คำสอนทางศาสนาบอกว่าโลกแบน ก็ต้องมีชีวิตที่ทุกข์ทรมานจนวาระสุดท้าย) เพราะที่สุดแล้วอำนาจก็อยู่ในมือของมนุษย์นั่นเอง จากนั้นจึงมีนักคิดอื่นๆ สร้างความเชื่อความคิดเกี่ยวกับอำนาจว่ามาจากมนุษย์ขึ้นมาอย่างมากมาย อย่างเช่น โทมัส ฮอบส์ และจอห์น ล็อก ชาวอังกฤษ

เพื่อไม่ให้เป็นวิชาการน่าเบื่อจนเกินไป ก็จะขอตัดความแบบลิเกว่าปราชญ์อังกฤษ 2 คนนี่แหละที่กล่าวถึง “สิทธิ” เป็นคนแรกๆ แต่ในคนละความหมาย โดยที่ ฮอบส์ ผู้เกิดก่อน มองว่าสิทธิแม้จะเป็นของคนแต่ละคน แต่ก็ต้องมอบให้ใครบางคนที่มีอำนาจมากกว่าไว้ เพื่อให้คนที่มีอำนาจเหนือกว่านั้นคุ้มครองป้องกันภัยต่างๆ ให้ ส่วน ล็อก ที่เกิดตามหลังมาในยุคไล่เลี่ยกัน กลับบอกว่าสิทธิเป็นของคนแต่ละคนตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่อาจจะมีใครแย่งเอาไปครอบครองได้ เว้นแต่คนคนนั้นจะยินยอม อันเป็นที่มาของแนวคิดแบบ Social Contract หรือ “สัญญาประชาคม”

สิทธิมักจะกล่าวควบคู่กันกับเสรีภาพเป็นคำว่า “สิทธิเสรีภาพ” ก็มาจากแนวคิดของฮอบส์และล็อกนี่เอง เพราะทั้งสองคนเริ่มต้นกล่าวถึง “สภาวะธรรมชาติของมนุษย์” ว่าพื้นฐานในอำนาจของมนุษย์นั้น คือ “เสรีภาพ” เสรีภาพจึงเป็นสิทธิหรืออำนาจเริ่มแรกของมนุษย์ บางทีเราก็เรียกนักคิดกลุ่มนี้ว่านักคิดแนวเสรีนิยม โดยที่เสรีภาพนั้นจะแปลว่า “อำนาจในการตัดสินใจด้วยตนเองของมนุษย์ ที่ไม่มีบุคคลอื่นใดจะมาบังคับได้” ทว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม (เช่น เป็นครอบครัว เป็นชุมชน หรือเป็นกลุ่มและองค์กรต่างๆ) ก็จำเป็นจะต้องจำกัดซึ่งเสรีภาพของตนเองให้อยู่ร่วมกับคนอื่นให้ได้ อันนำมาซึ่งการกำหนดสิทธิ หรืออำนาจการกระทำต่างๆ ของมนุษย์ ที่จะจำกัดได้ก็ด้วยการกำหนดเป็นกฎหมาย หรือการจัดระเบียบทางสังคม

แนวคิดของนักคิดกลุ่มนี้ (ต่อมาก็ขยายไปสู่ประเทศฝรั่งเศส ที่สำคัญก็ได้แก่ ฌอง โบแดง, ฌอง ฌาร์ก รุซโซ และมองเตสกิเออ) ได้กลายเป็นแนวทางว่าจะต้องมีการรับรองซึ่งสิทธิและเสรีภาพของบุคคลไว้ในกฎหมายสูงสุด อย่างในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส ที่ทั้งสองประเทศนี้พัฒนามาจากคำรับรองสิทธิของประชาชนและพลเมือง (ของสหรัฐจะปรากฏมาก่อนในคำประกาศอิสรภาพ 1778 ก่อนที่จะมาใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญในอีก 3 ปีต่อมา ส่วนของฝรั่งเศสจะอยู่ในคำประกาศรับรองสิทธิของพลเมืองภายหลังการปฏิวัติล้มล้างกษัตริย์ในปี 1789 ก่อนที่จะมาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ของฝรั่งเศส จนถึงฉบับสุดท้ายในปี 1958) ซึ่งนักรัฐศาสตร์จะเรียกแนวการปกครองแบบนี้ว่า “แนวรัฐธรรมนูญนิยม” (Constitutionalism)

ขออภัยที่ออกซอยไปเป็นวิชาการหนักสมองอีกครั้ง แต่อยากให้พวกคนที่ใช้สิทธิ (และเสรีภาพ) ต่างๆ อยู่ในสภาอย่างพร่ำเพรื่อพวกนั้น (ถ้าอ่านบทความนี้) ได้ทราบใส่ในสมองที่น่าจะมีที่ว่างอยู่อีกมากว่า สิทธิอันหมายถึงอำนาจที่ท่านจะกระทำการต่างๆ ได้ด้วยตนเองนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลอยๆ เช่นเดียวกันกับจะใช้อำนาจหรือสิทธิทั้งหลายนี้อย่างไร้การควบคุมไม่ได้ เพราะสิทธิเกิดขึ้นจากการตกลงร่วมกัน เหมือนกับที่สภาก็มีข้อบังคับของสภา ที่พวกท่านที่เป็นสมาชิกสภานั่นแหละมาตกลงและร่วมกันทำ ดังนั้นถ้ารู้สึกว่ามีการใช้สิทธิดังกล่าวฟุ้งเฟ้อจนเกินไป ก็เป็นหน้าที่ของพวกท่านที่จะร่วมแก้ปัญหาและทำให้มันถูกต้องสวยงามเสีย

ความจริงนั้นยังมีกฎระเบียบที่ยิ่งใหญ่กว่ากฎหมายอยู่อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า “กฎทางสังคม” ซึ่งก็คือศีลธรรม (อันมีอยู่ในทุกศาสนา) และจริยธรรม (อันมีอยู่ในทุกกลุ่มสังคม) โดยที่ในประเทศไทยก็นับถือกันว่าท่านสมาชิกรัฐสภาทั้งหลายนั้นคือ “ผู้ทรงเกียรติ” จึงน่าที่จะมีศีลธรรมสูงกว่าผู้คนในอาชีพอื่นๆ เช่นเดียวกัน ด้วยความสูงเกียรติของท่านเหล่านี้ก็น่าที่จะคิดค้นจริยธรรมต่างๆ มาควบคุมได้ดีกว่าคนอื่นๆ แต่ที่เห็นและเป็นอยู่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่สังคมคาดหวังเลย

ในความเป็นจริงอีกเช่นกัน ไม่เฉพาะแต่ในรัฐสภาเท่านั้นที่มีปรากฏการณ์แบบ “กินบนเรือนแล้วทำลามกบนหลังคา” (คือทำลายอาชีพและแหล่งทำมาหากินของตัวเอง) ในหน่วยงานต่างๆ ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่พอสมควร ตัวอย่างเช่น ครั้นตนเองไม่ได้รับการพิจารณาให้ไปเป็นตำแหน่งโน้นตำแหน่งนี้ ก็อาละวาดเผาบ้าน (หน่วยงาน) ของตนเองเสียเลย ด้วยการฟ้องร้องเอาผิดกันอย่างไม่เลิกรา โดยไม่เห็นแก่ความอยู่รอดขององค์กรและคนอื่นๆ เพียงแต่ข้าได้สะใจก็เป็นพอ

นักการเมืองไทยในสภาก็เป็นอย่างนั้นแหละ ทั้งๆ ที่รู้ว่า (หรือไม่รู้ก็ไม่ทราบ) พฤติการณ์การใช้สิทธิอย่างเลอะเทอะเพียงเพื่อสนองตัณหาของตน (ที่จริงก็คือ “นาย” คนเดียวเท่านั้น) ได้ทำให้สภานี้ตกต่ำ ภาพลักษณ์ของนักการเมืองเสียหายไปทั้งสภา และระบอบประชาธิปไตยทรุดโทรมป่นปี้ ก็ยังด้านทนที่จะกระทำมาทุกยุคทุกสมัย โดยไม่รู้จักที่จะพัฒนาให้ดีขึ้น

หลายคนจึงอยากฝันว่า ตื่นมาพรุ่งนี้นักการเมืองพวกนี้ไปเกิดใหม่หมดแล้ว!

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ กังวลเงินทุนด้านเอไอกดดันหุ้นเทคโนโลยี