ปัจจัยลบรุมเร้า เศรษฐกิจปีหน้าส่อท่าเผาจริง
ยิ่งใกล้ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2555 ยิ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยิ่งซึมเซา เพราะพิษไข้
โดย...กนกวรรณ บุญประเสริฐ
ยิ่งใกล้ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2555 ยิ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยิ่งซึมเซา เพราะพิษไข้ ไม่ได้คึกคักกันถ้วนหน้าอย่างที่รัฐบาลคาดไว้ ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2556 เกือบทุกสำนักพร้อมใจกันฟันธงว่า ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งที่เกิดจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
เริ่มจาก ธนาคารโลก ได้ปรับตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2556 ของกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ลงเหลือ 8.1% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 8.6%
คล้อยหลังจากนั้น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ คาดว่าภูมิภาคนี้ทั้งไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม จะขยายตัวช้าลงในปีหน้า
ฟากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ปรับลดประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2555 จากที่คาดว่าจะขยายตัว 5.5-6.5% เหลือ 5.5-6% พร้อมหั่นตัวเลขส่งออกเหลือเพียงครึ่งจากเป้าหมายของรัฐบาลที่ 15% เหลือเพียง 7.3%
ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แม้ยังคงจีดีพีในปี 2555 ไว้ที่ 5.7%
แต่ในปี 2556 เตรียมหั่นจีดีพีลงเหลือแค่ 5% และเตรียมปรับลดประมาณการการส่งออกลงเหลือ 7% หลังจากประเมินว่าเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลอย่างชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า
สาเหตุสำคัญของการชะลอตัวของเศรษฐกิจครั้งนี้ ทุกสำนักให้น้ำหนักที่เรื่องการส่งออกที่หดตัว จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน รวมไปถึงตลาดหลักอย่างในสหรัฐและยุโรปที่ยังคาดว่ายังไม่เห็นสัญญาณของการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ผลจากมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่ประกาศมาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบใหม่ หรือ คิวอี 3 มูลค่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้คาดว่าในปีหน้าจะมีเงินทุนไหลเข้าไทย ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ซ้ำเติมผู้ส่งออกให้มีรายได้เมื่อแลกเป็นเงินบาทลดน้อยถอยลงไปอีกมหาศาล
หลากหลายประเด็นเหล่านี้กลายเป็นข่าวร้ายของรัฐบาลในปีหน้า ที่ต้องเผชิญกับการส่งออก การนำเข้าที่หดตัวลง
ขณะที่การลงทุนภาครัฐ เมื่อวิเคราะห์จากตัวเลขงบประมาณปี 2556 พบว่า มีวงเงินรายจ่าย 2.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายจ่ายประจำไปแล้ว กว่า 1.88 ล้านล้านบาท เหลือเป็นรายจ่ายลงทุนเพียง 4.67 แสนล้านบาท
นั่นหมายความว่า เม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐผ่านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นั้น ยังไม่มีแรงพอที่จะฉุดกระชากเศรษฐกิจในปีหน้าให้ฟื้นตัว
จึงเหลือเครื่องมือเดียวที่เป็นเครื่องมือหลักที่รัฐบาลใช้กันอย่างเคยมือ คือการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทั้งการบริโภคของภาคเอกชนและประชาชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20-30% ของจีดีพี จะเป็นตัวหลักที่ใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้วิ่งไปข้างหน้าท่ามกลางมรสุมรุมเร้า
เรียกได้ว่าต้องพึ่งพาเม็ดเงินแค่ 20-30% มาลากเศรษฐกิจที่มีขนาดสูงกว่า 10 ล้านล้านบาทให้เดินหน้า
สถานการณ์แบบนี้อันตรายยิ่ง ขนาดธนาคารเดอะรอยัลแบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ (อาร์บีเอส) ประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตที่ 5.7% และในปี 2556 จะเติบโตได้แค่ 5% โดยระบุความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในภาวะที่ต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกจากทั่วโลก จากที่ไทยมีอัตราการส่งออกต่อจีดีพีอยู่ที่ 70% สูงเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาค รองจากสิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย ตามลำดับ
อาร์บีเอสทุบโต๊ะเปรี้ยงลงไปว่า สถานการณ์แบบนี้ทำให้ไทยมีโอกาสเผชิญกับภาวะวิกฤตของเศรษฐกิจโลก ดังเช่นในปี 2551 ที่ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดจากวิกฤตการค้าโลก
ข้อคิดเห็นของอาร์บีเอสไม่ไกลไปจาก ไพบูลย์ พลสุวรรณา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ที่ระบุว่า การส่งออกปี 2555 มีแนวโน้มที่จะขยายตัว 4.6% ซึ่งต้องติดตามตัวเลขการส่งออกในเดือน ก.ย. 2555 ที่กระทรวงพาณิชย์เตรียมประกาศตัวเลขในวันที่ 24 ต.ค. 2555 หากตัวเลขออกมาติดลบ ก็อาจทำให้อัตราการส่งออกปีนี้ขยายตัวต่ำกว่า 4.6%
ที่สำคัญสถานการณ์แบบนี้มีแนวโน้มว่าจะส่งผลต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 ปี 2556 เพราะสะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ชะลอตัว
“ในเดือน ต.ค. 2555 เป็นช่วงที่เริ่มเจรจาสินค้าที่จะส่งมอบในไตรมาส 1 ปีหน้าแล้ว และเป็นช่วงคาดการณ์ว่าหลังจบช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีสินค้าเหลือในสต๊อกเท่าไรเพื่อวางแผนส่งมอบไตรมาส 1 ปีหน้า แต่ขณะนี้ผู้ส่งออกบางรายยังเจรจาสินค้าสำหรับส่งมอบเดือน พ.ย. 2555 แสดงว่าผู้นำเข้าไม่มั่นใจกำลังซื้อของผู้บริโภค”
ไพบูลย์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้คาดการณ์เบื้องต้นว่าการส่งออกปีหน้ามีแนวโน้มขยายตัว 1 หลัก เพราะคำสั่งซื้อไม่ไหลเข้ามาต่อเนื่องและผู้นำเข้าต่อรองราคาสินค้าแสดงว่าการบริโภคปลายทางถดถอย แต่ผู้ส่งออกยังคงพยายามหาทางให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกบางรายมีกำไรลดลงเพื่อให้รักษาการผลิตไว้
“การส่งออกที่ขยายตัวไม่มากในปีหน้าจะมีผลต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีหน้าด้วยเพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออก 70% และรัฐบาลมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมีโครงการเพิ่มรายได้ประชาชนและกระตุ้นการบริโภค แต่ประชาชน 60 ล้านคน คงไม่สามารถบริโภคสินค้าที่ไทยผลิตส่งออกมากพอที่จะชดเชยการส่งออกที่ขยายตัวไม่มากได้” นี่คือข้อวิเคราะห์ที่ต้องติดตาม
ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามกระตุ้นการบริโภค แต่ดูล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่า เริ่มจากการประกาศขึ้นค่าแรง 300 บาท แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้เร่งนำมาตรการนี้มาใช้ เพราะประเทศไทยเพิ่งเผชิญวิกฤตน้ำท่วมทำให้ผู้ประกอบการยังตั้งหลักไม่ได้ กลายเป็นต้องปลดคนงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย ส่งผลให้ปัญหาว่างงานเพิ่มสูงขึ้น
ด้านสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรี ขอชะลอการขึ้นค่าจ้าง 300 บาทในอีก 70 จังหวัดที่เหลือ เพราะผู้ประกอบการทนสภาวะแบกเรื่องต้นทุนไม่ไหว โดยจะขอให้ไปว่ากันในปีหน้าฟ้าใหม่คือในปี 2558 เพราะคาดว่าการส่งออก การลงทุนและการท่องเที่ยว ในช่วงไตรมาสแรกปีหน้าจะยังไม่ฟื้นตัวอย่างแน่นอน
ต่อมาที่เดินหน้าลุยไฟโครงการนโยบายประชานิยมหวังเอาใจเรื่องปากท้องให้เกษตรกรชาวรากหญ้า แค่เฉพาะรับจำนำข้าวโครงการเดียว พบว่าในช่วง 2 ปี คือ ปี 2554/2555 และ 2555/2556 รัฐบาลนี้น่าจะใช้เงินมากกว่า 7 แสนล้านบาท ในการรับจำนำสินค้าเกษตร โดยที่ไม่เห็นสัญญาณว่ารายได้เกษตรกรจะดีขึ้นอย่างออกหน้าออกตา
แต่ต้องแลกกับการแบกหนี้สาธารณะจากการขาดทุนปีละ 1 แสนล้านบาท
ส่วนการใช้นโยบายกึ่งการคลัง คือการผลักดันให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หรือแบงก์รัฐ เร่งปล่อยสินเชื่ออัดฉีดเข้าสู่ระบบ ซึ่งค่าเฉลี่ยในภาวะปกติแบงก์รัฐมียอดปล่อยกู้รวมกันไม่น้อยกว่า 1-2 ล้านล้านบาท
แต่ในปีนี้พบว่าสภาพการทำธุรกิจของธนาคารรัฐเกือบทั้งยวงขาดหัวเรือใหญ่ ผู้บริหารระดับกรรมการผู้จัดการใหญ่ที่ทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานมีการปรับเปลี่ยนตัวคนใหม่เกือบยกแผง ยกเว้นแต่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ยังมี ลักษณ์ วจนานวัช เป็นผู้จัดการ ธ.ก.ส. คอยควบคุมนโยบายการเร่งปล่อยสินเชื่อ
ขณะที่ธนาคารออมสิน เลอศักดิ์ จุลเทศ ได้ครบวาระ 4 ปี ไปเมื่อเดือน ก.ค. และขณะนี้อยู่ระหว่างการสรรหาคนใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดให้แสดงวิสัยทัศน์ว่าผู้อำนวยการธนาคารออมสินในวันที่ 24 ต.ค.นี้ แต่กว่าจะมีผู้นำใหม่ต้องลากยาวไปถึงปีหน้า
ส่วนธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) หลังบอร์ดสั่งปลดแบบฟ้าผ่า โสฬส สาครวิศว กรรมการผู้จัดการคนก่อนออกจากตำแหน่ง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง มาถึงวันนี้ยังไม่มีวี่แววการสรรหาคนใหม่ หรือแม้ว่าจะมีการเปิดรับสมัครใหม่ก็ใช่ว่าจะมีคนมือดีกล้าเข้ามาสมัคร เพราะเกรงว่าจะเจออาถรรพ์หนี้เน่าเขย่าเก้าอี้เอ็มดีมาแล้วหลายคน
ด้านธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) แม้จะได้ว่าที่กรรมการผู้จัดการคนใหม่แล้ว คือ ธานินทร์ อังสุวรังษี อดีตผู้จัดการทั่วไป บริษัท โซลูชั่น เพย์เม้นท์ แต่ทางกระทรวงการคลังยังไม่ยอมจรดปากกาเซ็นรับเข้าตำแหน่ง เพราะยังต้องการให้บอร์ดเคลียร์เรื่องคุณสมบัติที่ไม่ครบตามที่ประกาศไว้ก่อน
ทำให้ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ทำได้แบบไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และอาจจะลามไปถึงปีหน้าถ้ายังจัดการเรื่องการผู้บริหารองค์กรไม่สะเด็ดน้ำ
ขณะที่การลงทุนอื่นๆ ของภาครัฐ เช่น การลงทุนตาม พ.ร.ก.วางระบบบริหารจัดการน้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท พบว่าที่มีการเบิกจ่ายไปแค่บางส่วน และยังเหลือเงินอีกราว 3 แสนล้านบาท ที่ยังไม่สามารถเบิกได้ทันในปีนี้
ในปีหน้าก็ไม่แน่ว่าจะเบิกจ่ายได้เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป ปีนี้น้ำไม่ท่วมประเทศไทยเหมือนอย่างปีก่อนแล้ว
ทำให้ปี 2556 ที่จะถึงนี้ จึงเป็นปีที่แสนจะท้าทายการทำงานของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะไม่มีน้องน้ำมาให้อ้างแล้วว่าเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจ
หากยังบริหารประเทศจนกราฟหัวทิ่มดิ่งลง จนทั้งคนรวย คนจน เดือดร้อน แถมงบประมาณที่มีอยู่ก็เริ่มจำกัด เพราะที่ผ่านมาได้ใช้กันจนมือเติบ ผ่านโครงการประชานิยม ขณะที่แนวโน้มการหารายได้ก็มีแต่จะลดน้อยถอยลง แค่ลดภาษีนิติบุคคลตัวเดียวก็เงินหายวับไปกับตาถึง 1.5 แสนล้านบาทแล้วเช่นนี้
หากยังไม่รีบปรับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับโจทย์ยาก เชื่อแน่ว่าปีนี้อาจจะแค่เผาหลอก แต่ปีหน้าเผาจริงแน่นอน


