posttoday

เคลื่อนย้ายอาคารหอสมุดดำรงราชานุภาพ ไปอีกหนึ่งในเวลา 7 ชั่วโมง

21 ตุลาคม 2555

วันนี้ท่านที่เพิ่งเข้าไปหลังตึกถาวรวัตถุหรือตึกแดง ด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จะต้องเห็นภูมิทัศน์ใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อพื้นที่ระหว่างตึกแดงกับอาคารหอสมุดดำรงราชานุภาพ (เดิม) ที่เคยแคบ บัดนี้เปิดกว้างและไม่มีอะไรบดบังทัศนียภาพอาคารเบญจมราชวรานุสรณ์ พ.ศ. 2554 ที่เป็นดังนี้เพราะมีการย้ายอาคารหอสมุดดำรงราชานุภาพ (เดิม) จากที่ตั้งเดิมเข้าไปติดกับวัด ตั้งอยู่ระดับเดียวกับวิหารคต โดยโครงสร้างอาคารโบราณยังอยู่ในสภาพเดิมทุกประการ

วันนี้ท่านที่เพิ่งเข้าไปหลังตึกถาวรวัตถุหรือตึกแดง ด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จะต้องเห็นภูมิทัศน์ใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อพื้นที่ระหว่างตึกแดงกับอาคารหอสมุดดำรงราชานุภาพ (เดิม) ที่เคยแคบ บัดนี้เปิดกว้างและไม่มีอะไรบดบังทัศนียภาพอาคารเบญจมราชวรานุสรณ์ พ.ศ. 2554 ที่เป็นดังนี้เพราะมีการย้ายอาคารหอสมุดดำรงราชานุภาพ (เดิม) จากที่ตั้งเดิมเข้าไปติดกับวัด ตั้งอยู่ระดับเดียวกับวิหารคต โดยโครงสร้างอาคารโบราณยังอยู่ในสภาพเดิมทุกประการ

การเคลื่อนย้ายอาคารอิฐก่อโบราณ อายุ 65 ปี น้ำหนักประมาณ 1,000 ตัน จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเป็นระยะทาง 7 เมตร ในเวลา 7 ชั่วโมงเศษ เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2555 โดยไม่มีปัญหานั้นเป็นความอัศจรรย์อย่างหนึ่ง งานนี้เกิดจากการที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ว่าจ้างบริษัท ฟีเนสส์ ซอยล์ เทสติ้ง ให้ดำเนินการในวงเงิน 7.5 ล้านบาท

ธเนศ วีระศิริ ในนามบริษัท ฟีเนสส์ ซอยล์ เทสติ้ง สรุปว่า การย้ายอาคารอิฐก่ออายุ 65 ปี เป็นงานใหญ่ต้องระมัดระวังมาก แม้ว่าจะเคยมีผลงานในการยกอาคารโบราณ เช่น โบสถ์วัดแก้วฟ้า จ.นนทบุรี อายุ 300-400 ปี อาคารสุนันทาลัยในโรงเรียนราชินีมาก่อนก็ตาม

งานนี้ได้ใช้หลักการย้ายคือทำฐานรากรองรับตามแนวที่จะย้าย วางแนวราง ถ่ายน้ำหนักลงราง ใช้ราง 11 ตัว แม่แรง 5 ตัว ตัวละ 30 ตัน เริ่มย้ายเวลา 08.30 น. เสร็จเวลา 15.06 น. สำเร็จในวันเดียวด้วยความราบรื่นและเป็นความภูมิใจที่ทำสำเร็จ งานต่อไปคือปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม

เคลื่อนย้ายอาคารหอสมุดดำรงราชานุภาพ ไปอีกหนึ่งในเวลา 7 ชั่วโมง

 

อาคารใหม่

พระธรรมสุธี อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ ที่เฝ้าติดตามการเคลื่อนย้ายอาคารโบราณ ตั้งแต่เริ่มพิธีเมื่อเวลา 08.30 น. บอกว่าการย้ายอาคารด้วยการเลื่อนออกไปแบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน เวลาเลื่อนนั้นดังแต็กๆ เหมือนเข็มนาฬิกาเดิน เป็นเรื่องอัศจรรย์มากและรู้สึกสมปรารถนาที่อาคารใหม่ไม่มีอะไรมาบดบัง

อาคารหลังใหม่ชื่อเบญจมราชวรานุสรณ์ พ.ศ. 2554 เป็นอาคาร 2 ชั้น ด้านหน้าประดิษฐานพระรูปหล่อของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ขนาด 2.50 เมตร ที่มีการหล่อขึ้นมาเป็นครั้งแรกนับแต่สวรรคต (สิ้นพระชนม์) ขณะมีพระชนมายุ 15 พรรษา ด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2437

อาคารนี้สร้างด้วยเงินทุนของวัดส่วนหนึ่ง และของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นที่อบรมวิปัสสนากรรมฐานของวัดมหาธาตุ เนื่องด้วยที่เดิม เช่น คณะเลขที่ 5 นั้นเต็มและคับแคบ สถานที่แห่งใหม่ใหญ่ขึ้นสามารถรองรับผู้ปฏิบัติธรรมได้ถึง 200 ท่าน

หอดำรง

สำหรับความเป็นอาคารหอสมุดดำรงราชานุภาพนั้น ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก อร่าม สวัสดิวิชัย ผู้ช่วยเลขาฯ มูลนิธิรัชกาลที่ 4 ซึ่งมีความผูกพันกับอาคารโบราณ เพราะได้มาถวายตัวต่อ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2507 หลังจากได้ศึกษาและอ่านผลงานของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ด้วยความประทับใจและซาบซึ้งที่หอสมุดทุกวันอาทิตย์ พร้อมกับสมทบทุนมูลนิธิสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทุกเดือน เดือนละ 30 บาทเป็นประจำ จนกระทั่ง ม.จ.พูนพิศมัยขอดูตัว

หอสมุดดำรงราชานุภาพเป็นห้องสมุดอนุสรณ์ถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยและโบราณคดี พระองค์ได้รับการยกย่องจากองค์การ UNESCO ในปี พ.ศ. 2505 ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก

พระนิพนธ์เรื่องห้องดำรงของ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล ในหนังสือสารคดี ท่านเริ่มว่าการให้ของมีค่าเป็นสมบัติแก่ชาตินั้น ถ้าเป็นเรื่องในประเทศยุโรปหรืออเมริกา ก็ไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใดเลย เพราะเขาทำกันอยู่เสมอ แม้การให้แก่โลกโดยไม่เลือกชาติ ศาสนา เขาก็ทำกันได้ และถือว่าเป็นยอดจิตต์มนุษย์ด้วย

ในเมืองไทยก็ได้มีผู้ให้บริจาคมาแล้วมากมายเหมือนกัน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น

ข้าพเจ้า (ม.จ.พูนพิศมัย) จึงไม่เห็นแปลกประหลาดอันใดที่จะให้ห้องดำรงนี้แก่ชาติ แต่ได้มีเพื่อนฝูงหลายคนมาซักถามว่าเหตุใดจึงคิดให้ดังนี้ และในที่สุดรุ่งอรุณก็ขอให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ให้ ข้าพเจ้าลังเลใจว่าจะเขียนดีหรือไม่ดี แต่แล้วก็นึกได้ว่าการจดความจริงไว้ดีกว่าปล่อยให้เป็น พระอินทร์สร้าง ในภายหน้า แล้วลงมือเขียนเล่าดังต่อไปนี้

ม.จ.พูนพิศมัยเท้าความถึงแรงบันดาลใจให้ทำห้องดำรงว่า หลังจากมีโอกาสไปเยือนประเทศยุโรป ได้พบเห็นคนสำคัญของโลกหลายคนและคีตกวีหลายท่าน แม้ว่าตัวจะตายไปแล้วแต่ยังมีชื่อให้กล่าวถึง ดูประหนึ่งว่ายังมีชีวิตอยู่ เมื่อฝรั่งที่รู้จักสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพถามว่าเคยนึกถึงงานของพ่อท่านที่ได้ทำไว้บ้างหรือเปล่า แม้จะตอบว่าทำไมต้องนึกถึงเล่าก็ตาม แต่ต่อมาสถานการณ์เปลี่ยนไป คือเมื่อ พ.ศ. 2480 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงทำพินัยกรรม ทรงตั้ง ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล เป็นกรรมการองค์หนึ่ง ท่านจึงทูลขอหนังสือสมเด็จฯ ทั้งที่เป็นพระนิพนธ์และที่ทรงสะสมไว้เพื่อจะนำไปทำ “ห้องดำรง” โดยทรงให้เหตุผลว่า พระองค์ท่านคงจะเสียใจมาก ถ้าพบลายพระหัตถ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพไปอยู่ตามเวิ้งนาครเขษม เล่มละ 25 สตางค์

เมื่อถึง พ.ศ. 2485 หลังจากเสด็จกลับจากปีนังแล้ว สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงหารือเรื่องหนังสือว่าจะเก็บอย่างไร ม.จ.พูนพิศมัยทูลพระดำริว่า หากรัฐบาลไม่รับก็จะให้ยุโรปหรืออเมริกา ต่อเมื่อไทยเห็นค่าเมื่อไรจึงไปเอาคืนมา แต่ดำรินี้ยุติเมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพตรัสว่า อย่าลืมซีว่าเราเกิดมาเป็นคนไทย

เคลื่อนย้ายอาคารหอสมุดดำรงราชานุภาพ ไปอีกหนึ่งในเวลา 7 ชั่วโมง

 

วันหนึ่งทั้งสองพระองค์เสด็จเยี่ยมหอพระสมุดและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ทอดพระเนตรเห็นหลักก่อฤกษ์ที่หอสมุด เมื่อกลับถึงวังแล้วตรัสแก่ ม.จ.พูนพิศมัย ว่า เหมาะสำหรับเป็น “ห้องดำรง” ได้ห้องหนึ่ง

วันที่ 1 ธ.ค. 2486 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพสิ้นพระชนม์ ซึ่งอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มิสเตอร์มัซซุโมโต เจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่น ได้ติดต่อขอซื้อหนังสือทั้งหมดของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพในนามของรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อนำกลับไปทำหนังสือเรียนให้คนไทย แต่ ม.จ.พูนพิศมัยไม่ขาย ทรงกล่าวว่า พระองค์จะประทานให้แก่ชาติไทย ถ้าคนญี่ปุ่นต้องการศึกษาก็ให้มาศึกษาได้ที่เมืองไทย

ปรีดี พนมยงค์ ช่วยสำเร็จ

ม.จ.พูนพิศมัย ทรงนิพนธ์ว่า เมื่อถวายพระเพลิงศพสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพแล้ว ตัวท่านทรงขนหนังสือไปที่วัดนิเวศธรรมประวัติ (อยุธยา) ได้พบท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการที่นั่นได้ทรงขอบคุณที่ท่านปรีดีแนะนำเรื่องหนังสือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ตรงกับความตั้งใจของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าก็ลำบากใจที่ไม่รู้ว่าจะตั้งต้นบอกกับใครว่าหนังสือของพ่อฉันนั้นดีถึงควรเป็นสมบัติของชาติ ท่านปรีดีรับว่าจะช่วยเมื่อถึงเวลาที่ควรทำ แล้วก็ช่วยจริง ตั้งแต่บอกรัฐบาลจนสำเร็จเป็นรูปขึ้นได้ดังนี้

อาคารหอสมุดดำรงราชานุภาพ (เดิม) สร้าง พ.ศ. 2490 ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2490 อันเป็นวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เก็บหนังสือต่างๆ ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพประมาณ 7,000 เล่ม ต่อมามีเพิ่มเป็น 20,000 เล่ม

ต่อมามีปัญหาและอุปสรรคที่ตั้งเดิมที่วัดมหาธาตุ ถ้าหากมีการขยายงาน ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล ทรงทราบเรื่องจึงทรงแก้ไขพินัยกรรมที่ทำไว้ และเสนอให้ก่อสร้างหอสมุดดำรงราชานุภาพในบริเวณวังวรดิศในส่วนของพระองค์ท่าน เป็นอาคาร 3 ชั้น ทรงยุโรป มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 800 ตารางเมตร

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จฯ ทรงเป็นองค์ประธานในพิธีมอบและเปิดอาคารใหม่ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2532

การย้ายมาอาคารใหม่ทำให้สิ่งของส่วนพระองค์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่เคยกระจัดกระจายกลับมารวมอยู่ที่เดียวกันในบริเวณวังวรดิศอีกครั้งหนึ่ง

ส่วนอาคารหอดำรงราชานุภาพหน้าวัดมหาธาตุ ก็ยังคงยืนยงเป็นโบราณสถานให้ทุกคนรำลึกถึงผลงานในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพตลอดมา จนกระทั่งเป็นข่าวเมื่อมีการเคลื่อนย้ายด้วยเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างน่าอัศจรรย์เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา

ข่าวล่าสุด

ประกาศ! ปิดกั้นอ่าวไทย 'สกัดน้ำมัน-ยุทธปัจจัย' เข้ากัมพูชา