มุทิตา
ท่านผู้อ่านที่เคารพ อาทิตย์ที่ผ่านมา MQ ได้นำเรื่องการทำสมาธิในหมวดของอัปปมัญญากัมมัฏฐาน ซึ่งเป็นกัมมัฏฐานที่สามารถแผ่ไปอย่างไม่มีประมาณ ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา โดยได้จบเรื่องของเมตตาและกรุณาไปแล้ว วันนี้จึงขอนำเรื่อง “มุทิตา” มาคุยกันต่อ ซึ่งเป็นกัมมัฏฐานที่มีรายละเอียดน่าสนใจ ดังนี้
ท่านผู้อ่านที่เคารพ อาทิตย์ที่ผ่านมา MQ ได้นำเรื่องการทำสมาธิในหมวดของอัปปมัญญากัมมัฏฐาน ซึ่งเป็นกัมมัฏฐานที่สามารถแผ่ไปอย่างไม่มีประมาณ ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา โดยได้จบเรื่องของเมตตาและกรุณาไปแล้ว วันนี้จึงขอนำเรื่อง “มุทิตา” มาคุยกันต่อ ซึ่งเป็นกัมมัฏฐานที่มีรายละเอียดน่าสนใจ ดังนี้
มุทิตา นั้นเป็นชื่อที่เรารู้จักกันทั่วไป แต่ถ้าจะมองถึงสภาวธรรมะที่เรียกว่ามุทิตานั้น ก็คือ “มุทิตาเจตสิก” หรือความบันเทิงใจในคุณความดี ทรัพย์ บริวาร ความสุข ของผู้อื่น เป็นเจตสิก คือสภาพที่เป็นนามธรรมประกอบกับจิต ทำให้เกิดยินดีความรื่นเริงใจในความสุขความเจริญของผู้อื่น มักเรียกกันว่า ความพลอยยินดีนั่นเอง มุทิตา มีลักษณะประหาณ “อรติ” คือ ความไม่ยินดีด้วย ไม่ชื่นชมในความสุขความดีของผู้อื่น และประหาณ ความอิจฉา (ภาษาบาลี เรียกว่า อิสสา) และริษยา ในความดีความสุขของผู้อื่นด้วย
เพื่อความเข้าใจว่าอะไรคือลักษณะ กิจ อาการ และเหตุใกล้ให้เกิดมุทิตา รวมทั้งอะไรคือ ความสมบูรณ์ ความเสื่อม และศัตรูของมุทิตา อาจพิจารณาได้ดังนี้
ลักษณะของมุทิตา คือ มีการบันเทิงใจในคุณความดี ทรัพย์ บริวาร ความสุขของผู้อื่น
กิจของมุทิตา คือ มีการไม่ริษยาในคุณความดี ทรัพย์ บริวาร ความสุข ของผู้อื่น
อาการปรากฏของมุทิตา คือ มีการทำลายความริษยา
เหตุใกล้ให้เกิดมุทิตา คือ การเห็นความเจริญด้วยคุณความดี ทรัพย์ บริวาร ความสุขของผู้อื่น
ความสมบูรณ์แห่งมุทิตา คือ ความสงบจากความไม่พอใจในสมบัติของผู้อื่น
ความเสื่อมเสียแห่งมุทิตา คือ ความสุข ความรื่นเริง โอ้อวด กำหนัด เกิดขึ้นเป็นความเสื่อมของมุทิตา
ศัตรูใกล้ของมุทิตา คือ ความดีใจที่เนื่องด้วยกามคุณอารมณ์
ศัตรูไกลของมุทิตา คือ ความไม่ยินดี ไม่สบายใจ ในความเจริญของผู้อื่น
ผู้ที่ทำมุทิตาฌานได้ก็มีผลมากมีอานิสงส์ถึง 11 ประการ เช่นเดียวกับอานิสงส์ของเมตตาฌาน และกรุณาฌาน คือ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของคนทั่วไป เป็นที่รักของอมนุษย์ เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่สามารถทำอันตรายได้ จิตของผู้นั้นตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว มีสีหน้าผ่องใส เป็นผู้มีสติเมื่อใกล้ตาย เมื่อตายย่อมเข้าถึงสุคติ (เข้าถึงพรหมโลกได้)
การแผ่มุทิตานั้นมีอารมณ์ คือ สัตว์ที่กำลังได้รับความสุข ความสบาย ความเจริญรุ่งเรือง (สุขิตสัตตวบัญญัติ) เป็นอารมณ์ในการแผ่มุทิตา อย่างไรก็ตาม จำต้องกระทำการแผ่ตามลำดับดังนี้
ให้เริ่มจากแผ่กรุณาให้กับ ผู้ที่ได้รับความสุขอยู่ ซึ่งมี 2 ประเภท คือ ผู้ที่กำลังได้รับความสุข หรือกำลังจะได้รับความสุข เช่น กำลังจะได้ตำแหน่งใหม่ ได้รับข่าวดี กำลังจะได้รับความสุข เป็นต้น กับผู้ที่แม้ปัจจุบันจะได้รับความทุกข์ แต่ก็เคยเป็นผู้ที่ได้รับความสุขความเจริญมาก่อน อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน โดยเน้นว่าเขาเคยได้รับความสุขความเจริญ การแผ่ก็โดยว่า จงอย่าสูญเสียความสุขทั้งปวงที่กำลังได้รับอยู่นั้นเลย โดยแผ่มุทิตาให้กับสุขิตสัตว์ ที่เป็นสหายรักใคร่ชอบพอกันเป็นอันมาก เรียกว่า อติปิยบุคคล ก่อน (โดยบริกรรมว่า อยํ มม สหายโก ยถาลทฺธสมฺปตฺติโต มา วิคจฺฉนฺตุ)
ต่อไปก็ให้แผ่มุทิตาให้แก่ ปิยบุคคล ขอบุคคลทั้งหลายอันเป็นที่รักของข้าพเจ้าจงอย่าสูญเสียความสุขทั้งปวงที่กำลังได้รับอยู่นั้นเลย (โดยบริกรรมว่า มม ปิยปุคฺคลา ยถาลทฺธสมฺปตฺติโต มา วิคจฺฉนฺตุ)
จากนั้นก็แผ่มุทิตาให้แก่ผู้ที่เป็นกลางๆ คือ มัชฌัตตบุคคล ขอบุคคลทั้งหลายที่ข้าพเจ้ามิได้รักมิได้ชัง จงอย่าสูญเสียความสุขทั้งปวงที่กำลังได้รับอยู่นั้นเลย (โดยบริกรรมว่า มม มชฺฌตฺตปุคฺคลา ยถาลทฺธสมฺปตฺติโต มา วิคจฺฉนฺตุ)
สุดท้ายเป็นผู้ที่มีเวรต่อกัน คือ เวรีบุคคล ขอบุคคลทั้งหลายที่เป็นศัตรูแก่ข้าพเจ้า จงอย่าสูญเสียความสุขทั้งปวงที่กำลังได้รับอยู่นั้นเลย (โดยบริกรรมว่า มม เวรีปุคฺคลา ยถาลทฺธสมฺปตฺติโต มา วิคจฺฉนฺตุ)
เช่นเดียวกับกรุณา การแผ่มุทิตานั้น มีเพียงกระแสเดียว คือ จงอย่าให้สูญเสียความสุขที่กำลังได้รับอยู่ การแผ่มุทิตานั้นเนื่องจากเป็นกัมมัฏฐานประเภทอัปปมัญญาจึงสามารถแผ่ไปได้กว้างขวาง โดยมี 3 นัย คือ อโนทิโสผรณา (แผ่ไปโดยไม่จำกัดบุคคล) โอทิโสผรณา (แผ่ไปโดยจำกัดบุคคล) และ ทิสาผรณา (แผ่ไปให้สัตว์ทั่วไปทั้ง 10 ทิศ)
อโนทิโสผรณา คือ แผ่ไปไม่จำกัดบุคคล มี 5 จำพวก คือ
สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั่วไปทั้งหลาย
สพฺเพ ปาณา สัตว์ที่มีลมปราณทั้งหลาย
สพฺเพ ภูตา สัตว์ที่ปรากฏทั้งหลาย
สพฺเพ ปุคฺคลา สัตว์ที่เป็นบุคคลทั้งหลาย
สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนฺนา สัตว์ที่ครองอัตตภาพทั้งหลาย
โอทิโสผรณา คือ แผ่ไปโดยจำกัดบุคคล มี 7 จำพวก คือ
สพฺพา อิตฺถิโย เพศหญิงทั้งหลาย
สพฺเพ ปุริส เพศชายทั้งหลาย
สพฺเพ อริยา พระอริยะทั้งหลาย
สพฺเพ อนริยา ผู้ไม่ใช่อริยะทั้งหลาย
สพฺเพ เทวา เทวดาทั้งหลาย
สพฺเพ มนุสฺสา มนุษย์ทั้งหลาย
สพฺเพ วินิปาติกา อบายสัตว์ทั้งหลาย
ทิสาผรณา คือ แผ่ให้แก่สัตว์ทั่วไปทั้ง 10 ทิศ คือ
สัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ทิศเบื้องบน จนถึงอกนิฏฐพรหม 1 ทิศ
สัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ทิศเบื้องล่าง จนถึงอวีจิมหานรก 1 ทิศ
สัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ทิศเบื้องขวาง อีก 8 ทิศ
ดังนั้น หากนำฐานต่างๆ ในทั้ง 3 ผรณามารวมกับกระแสการแผ่มุทิตา ซึ่งมีกระแสเพียงกระแสเดียวแล้ว จะได้ดังนี้ อโนทิโสผรณา 5 ฐาน 1 กระแส ได้ 5 กระแส และโอทิโสผรณา 7 ฐาน 1 กระแส ได้ 7 กระแส ทิสาผรณา 10 ทิศ อโนทิโส 5 ฐาน โอทิโส 7 ฐาน รวม 12 ฐาน แต่ละฐานมี 1 กระแส รวม 12 ใน 10 ทิศ รวม 120 กระแส ดังนั้นกรุณาจึงแผ่ได้ถึง 132 (5+7+120) กระแส การกระทำให้มุทิตาภาวนาถึงฌานจิต ต้องเริ่มจากสัตว์ที่กำลังได้ความสุข ไปตามลำดับดังที่กล่าวมาแล้วจนถึงเวรีบุคคล (บริกรรมสมาธิ) แผ่จนจิตเข้าถึงความเสมอภาคในบุคคล คือไม่สามารถแบ่งแยกบุคคล คือถึงความมีจิตมุทิตาเสมอภาคกันในทุกประเภทบุคคล เรียกว่า สีมสัมเภท (อุปจารสมาธิ) เมื่อเจริญต่อไปในทั้ง 3 ผรณาดังกล่าวแล้ว จนกระทั่งได้ฌาน (อัปปนาสมาธิ) ซึ่งมุทิตากัมมัฏฐานนั้น เจริญได้สูงสุดถึงเพียงจตุตถฌานเท่านั้น ไม่ถึงปัญจมฌาน


