ระบบเศรษฐกิจโลกในอุดมคติ
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ขณะนี้ระบบเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในยุคเฟื่องฟูของ “ระบบทุนนิยม”
โดย...รวิภาส กล่ำทวี
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ขณะนี้ระบบเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในยุคเฟื่องฟูของ “ระบบทุนนิยม” ซึ่งมีการแข่งขันและแย่งชิงความโดดเด่นกันเองระหว่างทุนนิยมแบบมีรัฐเป็นตัวขับเคลื่อน กับทุนนิยมแบบใช้ตลาดเป็นตัวขับเคลื่อนโดยรัฐเป็นเพียงผู้รักษากำหนดกฎเกณฑ์ด้านการแข่งขันให้เกิดความยุติธรรม กล่าวง่ายๆ ได้ว่า ทุนนิยมกระแสหลักมี 2 กระแส คือ ทุนนิยมแบบรัฐและทุนนิยมแบบตลาด
ส่วนระบบเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมประเภทต่างๆ ได้ลดบทบาทและความสำคัญลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจโลก แม้จะยังมีใช้กันอยู่ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีนและเกาหลีเหนือ เป็นต้น
หากถามว่าระบบเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลกหรือระบบเศรษฐกิจอุดมคติมีหรือไม่ และควรเป็นเช่นไร บรรดานักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกต่างมีความเห็นแตกต่างกัน โดยหนึ่งในความเห็นที่น่าสนใจคือศาสตราจารย์เจฟฟรีย์ ซาคส์ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่กล่าวว่า คงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นระบบเศรษฐกิจในอุดมคติ หรือระบบที่ดีที่สุดในโลก แต่สิ่งที่แต่ละประเทศสามารถทำได้คือการนำเอาระบบเศรษฐกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในโลกมาใช้โดยการลอกเลียนแบบและการปรับแต่งประยุกต์ให้เข้ากับเงื่อนไขและสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของตนเอง
ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์การพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจของโลก เราจะพบว่าบรรดาประเทศต่างๆ ทั่วโลกผ่านการทดลองใช้ระบบเศรษฐกิจหลากหลายรูปแบบมาอย่างโชกโชน ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นประสบผลสำเร็จได้คือการรู้จักประยุกต์ใช้เนื้อหาสาระที่ดีของแต่ละระบบเศรษฐกิจในโลกให้เข้ากับเงื่อนไขของตน
ในศตวรรษที่ 18 อังกฤษเรียนรู้การพัฒนาระบบเศรษฐกิจผ่านการศึกษาต้นแบบจากเนเธอร์แลนด์ ต้นศตวรรษที่ 19 ปรัสเซีย หรือเยอรมนีปัจจุบัน นำเอาแบบอย่างระบบเศรษฐกิจจากอังกฤษและฝรั่งเศสมาใช้ในการพัฒนาประเทศ กลางศตวรรษที่ 19 จักรพรรดิเมจิของญี่ปุ่นเรียนรู้การพัฒนาด้านเศรษฐกิจจากเยอรมนี หรือแม้กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายประเทศในยุโรปเรียนรู้และเลียนแบบผลสำเร็จด้านเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา และที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดคือ จีน ยุคผู้นำเติ้งเสี่ยวผิง ก็เรียนรู้และเอาแบบอย่างการพัฒนาด้านเศรษฐกิจมาจากญี่ปุ่น
ตัวอย่างทั้งหมดข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการประยุกต์ใช้ระบบเศรษฐกิจจากทั่วโลก ช่วยสร้างความเจริญด้านเศรษฐกิจภายในประเทศได้เป็นอย่างดี สาระสำคัญคือ ประเทศที่นำระบบเศรษฐกิจจากภายนอกไปใช้ต้องรู้จักประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ลอกเลียนมาทั้งกระบิโดยไม่พิจารณา สภาพเศรษฐกิจที่แท้ของตนให้ถ่องแท้
สำหรับประเด็นหลักที่ควรพิจารณาในการประยุกต์ใช้ระบบเศรษฐกิจใดๆ ก็ตาม ได้แก่1) ระบบเศรษฐกิจนั้นสามารถช่วยสร้างงานและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนได้หรือไม่ 2) ระบบเศรษฐกิจนั้นสามารถช่วยสร้างประสิทธิภาพการพัฒนาการพลังงานในประเทศได้ดีมากน้อยแค่ไหน 3) ระบบเศรษฐกิจนั้นสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน ความขัดแย้งบาดหมางระหว่างประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน และ 4) ระบบเศรษฐกิจนั้นจะช่วยด้านการสร้างความสุขแบบยั่งยืนให้แก่ประชาชนได้มากน้อยเพียงใด
จากการศึกษาพบว่า ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มีหลายประเทศในโลกที่ใช้ระบบทุนนิยมเป็นหลักในการพัฒนา สามารถรอดพ้นผลกระทบทางเศรษฐกิจได้อย่างสบาย โดยส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคยุโรปตอนเหนือ เช่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย อย่าง นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก
ด้านความสำเร็จในการบริหารจัดการงบประมาณแบบสมดุลหรือใกล้สมดุล ต้องยกให้ประเทศเยอรมนี สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนความสำเร็จด้านนโยบายแรงงาน ต้องยกนิ้วให้เยอรมนี ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ระบบแรงงานที่มีเวลาทำงานแบบยืดหยุ่น การมีระบบฝึกอบรมที่เข้มข้นผ่านระบบการเรียนรู้เพื่อออกไปเป็นแรงงานโดยตรงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้านการบริหารจัดการสาธารณสุข ต้องยกให้เป็นผลงานชิ้นเอกของแคนาดา กลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่นที่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายการสาธารณสุขของประเทศตนเองให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 12% ของจีดีพี ขณะที่สหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายด้านการสาธารณสุขของประเทศอยู่ที่ 18% ของจีดีพี แต่ประสิทธิภาพไม่เท่ากลุ่มประเทศที่กล่าวก่อนหน้า ส่วนผลงานด้านนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน ตกเป็นของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะที่ความยอดเยี่ยมด้านการวิจัยและการพัฒนา ยังคงเป็นของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่สวีเดนและเกาหลีใต้ปัจจุบันไล่ตามมาติดๆ ด้วยการใช้งบประมาณ 3.5% ของจีดีพี และที่โดดเด่นมากก็คือประเทศอิสราเอล ที่ปัจจุบันโปะงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาระบบเศรษฐกิจของตนเองสูงถึง 4.7% ของจีดีพี
ด้านการพัฒนาความสุขให้แก่ประชาชนของประเทศผ่านระบบเศรษฐกิจ ตกเป็นของกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ได้แก่ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ ส่วนภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ภูฏาน ที่ใช้ดัชนีชี้วัดความสุขของประชาชนเป็นตัววัดสถานะทางเศรษฐกิจตนเองแทนการใช้ตัวเลขจีดีพี ขณะที่ อังกฤษเริ่มหันมาสำรวจความสุขของประชาชนเช่นเดียวกับภูฏาน
โดยภาพรวมแล้ว ประเทศที่มีดัชนีความสุขของประชาชนสูงสุดมักจะมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้ 1) มีความเท่าเทียมกัน 2) มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวหรือสามัคคีกัน 3) มีระบอบประชาธิปไตยที่รับผิดชอบต่อประชาชน 4) มีระบบสภาวะแวดล้อมที่ดีและยั่งยืน และ 5) มีสถาบันภาคประชาชนที่มีความเข้มแข็ง


