posttoday

รัฐชาติกับชนกลุ่มน้อย

28 กันยายน 2555

ระเบียบโลกที่สถาปนาขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา นำอำนาจการตัดสินใจเลือกการปกครองตนเองของมนุษย์มาผูกไว้กับการที่พวกเขาต้องมีสังกัดเป็นสมาชิกของชาติ หลักการกำหนดตนเองของประชาชาติจึงกลายเป็นรากฐานของระเบียบโลกใหม่ ดังจะเห็นว่าประเทศผู้ชนะสงครามเลือกจัดแบ่งดินแดนในยุโรปหลังการล่มสลายของ 4 จักรวรรดิเพื่อจัดตั้งรัฐเกิดใหม่โดยอิงกับหลักการดังกล่าว

ระเบียบโลกที่สถาปนาขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา นำอำนาจการตัดสินใจเลือกการปกครองตนเองของมนุษย์มาผูกไว้กับการที่พวกเขาต้องมีสังกัดเป็นสมาชิกของชาติ หลักการกำหนดตนเองของประชาชาติจึงกลายเป็นรากฐานของระเบียบโลกใหม่ ดังจะเห็นว่าประเทศผู้ชนะสงครามเลือกจัดแบ่งดินแดนในยุโรปหลังการล่มสลายของ 4 จักรวรรดิเพื่อจัดตั้งรัฐเกิดใหม่โดยอิงกับหลักการดังกล่าว

นับจากนั้นรัฐชาติหรือรัฐของประชาชาติกลายเป็นตัวแบบหลักของการสร้างรัฐสมัยใหม่ รวมทั้งเป็นตัวแบบให้แก่อาณานิคมที่ได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเหตุนี้ดินแดนของรัฐและอัตลักษณ์ของชาติผู้เป็นเจ้าของอธิปไตยเหนือดินแดน จึงได้รับการเฉลิมสถานะให้เป็นสิ่งที่ต้องปกป้องหวงแหนในนามของการรักษาความมั่นคงของรัฐชาติ

แต่ในขณะเดียวกัน มิใช่ชนทุกชาติถ้วนหน้าจะได้รับสิทธิกำหนดการปกครองตนเองและมีรัฐเป็นของตน การจัดระเบียบโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงมีผลทำให้บางชนชาติเปลี่ยนสภาพจากการเป็นพสกนิกรของรัฐจักรวรรดิที่ล่มสลายกลายมาเป็น “ชนกลุ่มน้อย” ในรัฐชาติที่เกิดขึ้นใหม่

ในแง่นี้ชนกลุ่มน้อยในสังคมต่างๆ และชะตากรรมที่พวกเขาประสบ จึงเป็นผลของกระบวนการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ ส่งผลให้ผู้คนและพื้นถิ่นดินแดนที่พวกเขาเคยอยู่กันมาแต่บรรพบุรุษ ถูกผนวกเข้าไว้ภายใต้การปกครองของรัฐ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มีชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ความทรงจำเกี่ยวกับอดีตและความฝันถึงอนาคต หรือสิ่งที่ใช้สร้างสำนึกความเป็นชาติอื่นๆ แตกต่างจากพวกเขา

ก่อนที่แนวปฏิบัติเพื่อปกป้องสิทธิกำหนดการปกครองของตนเองของชนกลุ่มน้อยจะกลายเป็นบรรทัดฐานในสังคมระหว่างประเทศ มาตรการที่รัฐชาติเลือกกระทำต่อพวกเขามักใช้การกำจัดหรือขจัดความแตกต่าง เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การบีบบังคับให้อพยพ การจำกัดเขต หรือการบูรณาการสมานลักษณ์ มากกว่ามุ่งสร้างเงื่อนไขเชิงสถาบันอันเหมาะสมเพื่อให้แต่ละฝ่ายเคารพสิทธิของกันและกัน และอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างอย่างสันติ

สถานการณ์เช่นนั้นนำไปสู่การสร้างปัญหาความมั่นคงในสองระดับ ปัญหาระดับพื้นฐาน คือปัญหาความมั่นคงของมนุษย์อันเกิดจากชนกลุ่มน้อยถูกละเมิดสิทธิพื้นฐาน หรือขาดหลักประกันทางกฎหมายและสังคมที่เพียงพอ สำหรับการมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย และในวิถีชีวิตที่เขากำหนดได้เองในบ้านในชุมชนของตน อันนำไปสู่ความปรารถนาอำนาจการจัดการปกครองที่เป็นของตนเอง รวมทั้งการเรียกร้องและต่อต้านที่ตามมา

ในอีกระดับหนึ่ง เมื่อในวิธีคิดของรัฐชาติมองบูรณภาพของดินแดนและเอกภาพของชาติเป็นความมั่นคงที่ต้องมุ่งปกปักรักษา การต่อต้านของชนกลุ่มน้อยและการเรียกร้องสิทธิกำหนดการปกครองของตนเองบนแผ่นดินที่เขาอาศัยอยู่มาแต่ก่อน จึงมิได้มีความหมายเหมือนข้อเรียกร้องทางการเมืองปกติ แต่กลายความหมายเป็นการท้าทายความมั่นคงของรัฐ มาตรการด้านการรักษาความมั่นคงของรัฐจึงถูกนำออกมาใช้จัดการกับปัญหาที่โดยเนื้อแท้เป็นปัญหาความมั่นคงของมนุษย์

เมื่อการรักษาความมั่นคงของรัฐคุกคามความมั่นคงของมนุษย์ และเมื่อสิทธิกำหนดการปกครองตนเองอันเป็นหลักประกันแห่งความมั่นคงของมนุษย์กลายเป็นข้ออ้างให้ความชอบธรรมแก่การจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐและการก่อการร้าย ปัญหาทั้งสองจึงหล่อเลี้ยงวงจรความรุนแรงให้แก่กัน

แนวทางที่เป็นบรรทัดฐานของสังคมระหว่างประเทศปัจจุบันในการแก้ไขปัญหา ที่ด้านหนึ่งตอบโจทย์การรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐชาติ และอีกด้านหนึ่งตอบโจทย์ข้อเรียกร้องของชนกลุ่มน้อย คือให้การรับรองสิทธิของชนกลุ่มน้อยที่จะดำรงและแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมของตน และให้การยอมรับอัตตาณัติในการปกครองตนเองแก่ชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ที่ถือเป็นมาตุภูมิของพวกเขา

การใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อยควบคู่กับภาษาหลักในพื้นที่สาธารณะ การยอมรับภาษาของชนกลุ่มน้อยเป็นภาษาราชการ การจัดการศึกษาระดับสูงด้วยภาษาของชนกลุ่มน้อย เหล่านี้คือตัวอย่างการรับรองสิทธิทางสังคมและวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยในระดับต่างๆ การจัดการปกครองตนเองไม่ว่าจะด้วยหลักการกระจายอำนาจหรือการแบ่งสรรการใช้อำนาจ และระดับอัตตาณัติทางการปกครองจะมีในเรื่องใด เท่าใด ก็มีหลายตัวแบบให้เลือกเช่นกัน

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่รัฐ ชนกลุ่มน้อยและภาคส่วนต่างๆ ในสังคมนั้นต้องหาทางเจรจาต่อรองตกลงกัน แต่การเจรจาเช่นนั้นจะสำเร็จและให้ผลยั่งยืนได้ บทเรียนจากพื้นที่ต่างๆ บ่งชี้ว่าต้องอาศัยเงื่อนไขอย่างน้อยสองด้าน คือ หนึ่ง รัฐนั้นต้องมีระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ และสอง รัฐและหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งสังคมโดยรวมและในชุมชนของชนกลุ่มน้อยเอง ต้องมีวัฒนธรรมการเคารพสิทธิมนุษยชนที่เข้มแข็งพอ

แต่เงื่อนไขทั้งสองด้านนี้จะสร้างขึ้นได้หรือ ในสังคมที่ไม่มีมันอยู่ ?

ข่าวล่าสุด

มติสมช.ย้ำจบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องคุยกันระดับทวิภาคี