posttoday

พื้นที่ทับซ้อนเดินหน้า ผลประโยชน์ทับซ้อนกำลังสอง...?

24 กันยายน 2555

น้ำนิ่งไหลลึก นึกว่าการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา หรือ MOU ปี 2544 จะพักอยู่บนหิ้ง

โดย...อานิก อัมระนันทน์

น้ำนิ่งไหลลึก นึกว่าการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา หรือ MOU ปี 2544 จะพักอยู่บนหิ้ง เพราะไม่ถูกประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วนเหมือนสมัยรัฐมนตรีท่านก่อน...

เมื่อหลายวันก่อนได้มีโอกาสเข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการอย่างหวุดหวิด ไปถึงช่วงบ่ายที่กำลังเสวนาเรื่องทางออก วิทยากรทุกท่านดูเหมือนจะเห็นพ้องว่าทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็มีข้อกฎหมายอ้างอิง ฉะนั้น การเจรจาโดยใช้ข้อกฎหมายเป็นกรอบจึงเป็นทางออกที่จะทำให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรใต้ทะเลได้ในเร็วที่สุด ท่านบอกว่าอย่างเก่งอาจจะกว่าสิบปี

แต่การเจรจาจะเหมาะสมก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา แม้ปัจจุบันยังมีความขัดแย้งบนบกอยู่ แต่ตอนนี้เหมาะเพราะความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศกำลังดิบดี อีกทั้งไทยจำเป็นต้องนำเข้ามากมายทั้งน้ำมันและแม้แต่ก๊าซก็เริ่มแล้ว น่าจะขุดของเราเองมาใช้ดีกว่า

วิทยากรได้ชี้ข้อจำกัดของการเจรจา ว่าอาจถูกใช้เป็นประเด็นการเมือง และผู้เจรจาคงถูกโจมตีว่าขายชาติถึงแม้จะทำดีที่สุดแล้วก็ตาม เพราะไม่มีทางที่ผลการตกลงจะได้ที่จุดตั้งต้นที่ฝ่ายไทยเสนอ

ในช่วงรับฟังความคิดเห็น ดิฉันได้แสดงความเห็นต่างใน 2 ประเด็นใหญ่ว่า เราไม่ควรรีบเจรจา เพราะยิ่งถ้ามองว่าเขาไม่ต้องเร่ง เราจะยิ่งเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แล้วถ้าจะต้องนำเข้าปิโตรเลียมไปก่อนเพราะเสี่ยงว่าถ้าเร่งทำตรงนี้ตอนนี้เราจะได้ส่วนแบ่งน้อยกว่าที่ควร ก็เก็บเอาไว้ใต้ดินดีกว่า

แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือเรื่องธรรมาภิบาล ปกติการเจรจาต้องเป็นความลับ แต่ในกรณีนี้สังคมไทยสมควรได้รับความโปร่งใสระดับหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ท่านวิทยากรว่ากำลังไปได้ดีนั้น ความจริงแล้วมาจากความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ใกล้ชิดสนิทสนมของผู้นำตัวจริงของทั้งสองประเทศมากกว่า อีกทั้งเป็นที่พูดกันอย่างกว้างขวางว่าตัวจริงฝ่ายไทยมีผลประโยชน์ทางธุรกิจพลังงานที่มีสัมปทานฝั่งโน้นด้วย

พื้นที่ทับซ้อนเดินหน้า ผลประโยชน์ทับซ้อนกำลังสอง...?

 

นั่นหมายความว่า ประชาชนคนไทยประสบความเสี่ยงของผลประโยชน์ทับซ้อนถึง 2 ชั้น เรียกว่ายกกำลัง 2 เลยก็ว่าได้

ดิฉันจึงได้ถามเหล่าวิทยากรว่า ถ้าจะต้องเดินหน้าเจรจาจะมีวิธีหรือกระบวนการอย่างไรที่จะแก้หรือลดความเสี่ยงตัวนี้? ความพอดีของความลับกับความโปร่งใสอยู่ตรงไหน? ทำอย่างไรจะสร้างความไว้วางใจว่าผลลัพธ์ของการเจรจา – ซึ่งเป็นเรื่องของการต่อรองตัวเลขสัดส่วน (ภายใต้การโต้ทางกฎหมาย) จะดีที่สุดสำหรับประเทศไทยแล้วจริงๆ คือเป็น “Win-Win” ที่เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย?

ประธานเสวนา (เอกอัครราชทูตวศิน ธีรเวชญาณ ประธานคณะอนุกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย) ได้กรุณาขอบคุณดิฉันที่ถามไปที่ “หัวใจ” ของเรื่องนี้ คำตอบแรกท่านบอกว่าเจรจาต้องเป็นความลับ หากฝ่ายตรงข้ามรู้ท่าทีเราเราจะเสียเปรียบ

ดิฉันก็เรียนท่านว่าเกรงจะลับข้างเดียว (ความสัมพันธ์พิเศษอาจนำไปสู่ภาวะพิเศษ : เราไม่รู้เขาแต่เขารู้เรา) นอกจากนี้ท่านได้ชี้ว่าการทำงานเป็นคณะก็ลดความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง แต่สำคัญสุดคือผู้เจรจาต้องเป็นมืออาชีพ สำหรับตัวท่านเองถ้าฝ่ายการเมืองมาชี้นำอะไรที่ “อธิบายไม่ได้” ท่านก็จะไม่ทำและได้เคยลาออกมาแล้ว

ดิฉันยกมือเรียนด้วยความเคารพว่า มืออาชีพที่ยึดประโยชน์ส่วนรวมเคยเป็นจุดแข็งของประเทศไทย เชื่อว่ายังมีอยู่แต่จะหายากขึ้นทุกวัน ท่านจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้

คำตอบที่น่าสนใจที่สุดมาจาก ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ว่าให้ใช้คนกลางที่น่าเชื่อถือ แม้คนกลางจะได้รับรู้รายละเอียดการเจรจาทั้งหมด แต่มันยังเป็นความลับ ซึ่งการใช้คนกลางนี้ ไทยกัมพูชาในอดีตก็ได้เคยใช้แล้ว กรณี ดั๊ก ฮัมมาโชลด์ เลขาธิการสหประชาชาติ ให้ทูตสวีเดนพิเศษเข้ามา (กูเกิลบอกว่ามาช่วยสางเหตุการณ์ในปี 2502 ) ตรงนี้อาจจะเป็นความพอดีระหว่างความโปร่งใสกับความลับ แต่ก็ยังไม่รับประกันว่าจะไม่เกิดภาวะเราไม่รู้เขาแต่เขารู้เรา

อีกคำตอบจาก ศ.ดร.จตุรนต์ ถิระวัฒน์ คือออกกฎหมายใหม่เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนให้รัดกุมขึ้นกว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ มาตรา 100 น่าสนใจแต่คงเกิดขึ้นยาก เพราะการหาความเข้มข้นที่พอดี ความรัดกุมที่ไม่รัดตัวจนเกินไปนั้นไม่ง่าย ที่สำคัญน้ำหนักทางการเมืองอาจไม่ต้องการความรัดกุมนั้น

คำตอบที่รับไม่ได้คือ ดร.ชุมพร ปัจจุสานนท์ ท่านบอกว่า ถ้าผู้นำเขาจะคุยกันเองก็ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ได้ ไม่ใช่ไปปรุงแต่งกันเองเพียงเพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน และถ้าพิสูจน์ได้จึงไปสู่กระบวนการเอาผิด แต่ถ้าไม่มีหลักฐานก็ “Too Bad” (แปลว่าช่วยไม่ได้) ตรงนี้ดิฉันต้องยกมือขอพูดอีกที ว่ารับไม่ได้ ไม่ถูกต้องที่จะให้ประชาชนต้องยอมรับความเคลือบแคลงในเรื่องผลประโยชน์มหาศาลของลูกหลานไทย ขณะที่เขียนตรงนี้ เกิดนึกถึงวิดีโอที่ท่านตัวจริงร้องเพลง “Let It Be” การร้องมีคำแปลภาษาไทยที่สะท้อนทัศนคติแบบเดียวกันเลย

คำตอบสุดท้ายท่านวศิน บอกว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 จะทำให้ต้องเปิดเผยผลการเจรจาต่อรัฐสภา (และอาจจะ) สู่สาธารณะโดยปริยาย ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล หรือ “อธิบายไม่ได้” เรื่องก็จะไม่ผ่านสภา ดิฉันไม่ได้ยกมืออีกเนื่องจากหมดเวลาและไม่อยากถูกมองว่าสร้างประเด็นการเมืองในเวทีวิชาการนี้ โดยเฉพาะท่านวศินเป็นผู้ใหญ่ที่อัธยาศัยดีมาก ก่อนจากกันนอกเวทีดิฉันเรียนท่านว่า เสียดายกลไกนี้ใช้ไม่ได้ ดูเหมือนท่านจะเข้าใจทันที

ดิฉันได้ตอบท่านผู้สะท้อนเสียงเพลงข้างต้นว่า ไม่ได้ปรุงแต่งว่ามีการทุจริตและยังไม่ได้กล่าวหาใคร แต่ไม่ว่าใครคิดด้วยสติและปัญญาก็ย่อมเห็นความเสี่ยงตัวนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ทรัพย์ในดินของประชาชน แต่หากมีอะไรที่ประชาชนรู้สึกว่า “อธิบายไม่ได้” และกลไกรัฐสภาไม่สามารถคลี่คลายปัญหานั้น อะไรที่เราไม่อยากเห็นก็อาจจะเกิดขึ้นได้

 

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดผสม หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์–พลังงานกดดัน S&P 500