ความเสื่อมของพระศาสนา
ในชีวิตของคนเรานั้น หากจะมองถึงสัจธรรมย่อมเห็นได้จากการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ความเป็นไปอย่างนี้เป็นความจริงของสภาวธรรมที่ถูกปรุงแต่งทั้งหลายในโลก พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมที่เป็นเครื่องออกจากทุกข์ที่เป็นไปด้วยความเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ คือ ทรงเห็นแจ้งพระนิพพานซึ่งเป็นความดับสนิทของทุกข์ ด้วยไม่มีการเกิดขึ้นแห่งขันธ์ 5 อีกต่อไป จึงไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วตรัสบอกทางไว้ โดยพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั่นคือแก่นแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ที่เลื่อมใสก็ศึกษา ปฏิบัติตามและได้รับผล ซึ่งจะเรียกตามลำดับว่า “ปริยัติ” “ปฏิบัติ” และ “ปฏิเวธ” นั่นเอง
ในชีวิตของคนเรานั้น หากจะมองถึงสัจธรรมย่อมเห็นได้จากการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ความเป็นไปอย่างนี้เป็นความจริงของสภาวธรรมที่ถูกปรุงแต่งทั้งหลายในโลก พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมที่เป็นเครื่องออกจากทุกข์ที่เป็นไปด้วยความเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ คือ ทรงเห็นแจ้งพระนิพพานซึ่งเป็นความดับสนิทของทุกข์ ด้วยไม่มีการเกิดขึ้นแห่งขันธ์ 5 อีกต่อไป จึงไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วตรัสบอกทางไว้ โดยพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั่นคือแก่นแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ที่เลื่อมใสก็ศึกษา ปฏิบัติตามและได้รับผล ซึ่งจะเรียกตามลำดับว่า “ปริยัติ” “ปฏิบัติ” และ “ปฏิเวธ” นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้พระพุทธศาสนาก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เมื่อมีการเกิดขึ้นก็มีการดับไป ในคัมภีร์สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระวิภังค์ ได้แสดงไว้เกี่ยวกับ อันตรธาน 3 อย่าง ดังนี้
ปริยัติอันตรธาน คือ การสูญหาย แห่งการเรียนพระไตรปิฎก
ปฏิเวธอันตรธาน คือ การสูญหาย แห่งมรรคผล
ปฏิบัติอันตรธาน คือ ความสูญหาย แห่งการปฏิบัติ
ในบรรดา 3 อย่างนั้น พระไตรปิฎก ชื่อว่า ปริยัติ
การแทงตลอดอริยสัจจะ ชื่อว่า ปฏิเวธ
ปฏิปทา ชื่อว่า ปฏิบัติ
เรื่องของปฏิบัติและปฏิเวธนั้น ในบางคราวก็มีมากน้อยต่างกัน แต่สิ่งที่ชื่อว่าเป็นประมาณในกาลตั้งอยู่แห่งพระศาสนานั้น คือ ปริยัติ เพราะผู้เป็นบัณฑิต (ผู้ที่มีปัญญา) หากได้ฟังพระไตรปิฎกแล้วย่อมยังปฏิบัติและปฏิเวธให้เกิดขึ้นได้
การอันตรธานไปของพระไตรปิฎก หรือที่เรียกว่า ปริยัติ นั้นย่อมเป็นไปตามลำดับดังนี้
พระอภิธรรมปิฎกย่อมพินาศไปก่อน โดยใน 7 คัมภีร์ของพระอภิธรรม คัมภีร์มหาปัฏฐาน ซึ่งเป็นคัมภีร์สุดท้ายที่ยาวและลึกซึ้งที่สุดย่อมอันตรธานก่อน จากนั้นก็เป็นคัมภีร์ที่ 6 (คัมภีร์ยมกะ) ตามลำดับลงไปจนถึง คัมภีร์ธัมมสังคณี ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ 1
ต่อมาเมื่อพระอภิธรรมปิฎกอันตรธานไปหมดแล้วไม่มีใครเรียน ไม่มีใครรู้เข้าใจ แม้กาลนั้นพระพุทธศาสนาก็ถือว่ายังดำรงอยู่ เหลือเพียง 2 ปิฎก คือ พระสูตรและพระวินัย โดยพระสูตร หรือที่เรียกว่า พระสุตตันตปิฎก จะอันตรธานไปก่อนพระวินัยปิฎก
การอันตรธานของพระสุตตันตปิฎกนั้น จะเริ่มจาก อังคุตตรนิกาย (แจกธรรมเป็นข้อๆ) ต่อไปก็คือ สังยุตตนิกาย (แสดงเรื่องบุคคลเป็นหมวดๆ) ต่อมาก็เป็น มัชฌิมนิกาย (แสดงเรื่องยาวปานกลาง) และทีฆนิกาย (พระสูตรแสดงเรื่องยาว) สุดท้ายคนจะเหลือจำกันได้บ้างก็แต่ คำถาม (ปุจฉา) สองสามคำถาม แต่ไม่ทราบคำตอบ ไม่มีความเข้าใจแค่ฟังๆ กันมา
อย่างไรก็ตาม แม้ พระอภิธรรมปิฎก และ พระสุตตันตปิฎก จะอันตรธานไป ไม่มีใครศึกษา ก็ไม่มีใครเข้าใจแล้ว แม้กาลนั้นพระพุทธศาสนาก็ยังชื่อว่าดำรงอยู่ เพราะพระวินัยปิฎกยังดำรงอยู่ การอันตรธานของพระวินัยก็จะเริ่มจาก ปริวาร ขันธกะ ไปจนถึง อุภโตวิภังค์ ต่อไปคือ มาติกา เมื่อมาติกาอันตรธานไปแล้ว พระปาฏิโมกข์ การบรรพชา อุปสมบท ยังดำรงอยู่ พระศาสนาก็ยังดำรงอยู่ต่อไปอีกนาน สุดท้ายก็เมื่อภิกษุหมดไป เหลือแต่สมณะผู้ครองผ้าขาว นั่นก็ถือว่าไม่อาจจะทรงพระศาสนาไว้ได้
ความเสื่อมถอย เป็นไปตามลำดับอันตรธานต่างๆ เหล่านี้ เพราะกาลแห่งศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็มีการสิ้นสุด เมื่อพระศาสนาของท่านสิ้นสุดลง ต่อมาก็เป็นความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น เนื่องจากพระพุทธเจ้าจะไม่บังเกิดขึ้นพร้อมกัน...
เรื่องราวยังมีต่ออาทิตย์หน้า


