ประวัติศาสตร์แห่งการข่มเหง
“หากคิดเถิง เบิ่งดารา เบิ่งดวงจันทร์ สายตาเฮา คงพบกัน บนจันทราลา...ขอลาไปก่อนเดอ...”
“หากคิดเถิง เบิ่งดารา เบิ่งดวงจันทร์ สายตาเฮา คงพบกัน บนจันทราลา...ขอลาไปก่อนเดอ...”
“ลาก่อนจาก” เพลงลาวอันสุดอมตะ เหมือนซาโยนาระของญี่ปุ่น หรืออารีรังของเกาหลี ดังขึ้นหลังการรับประทานอาหารในตอนเย็นของวันที่ 11 ส.ค. เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ณ ร้านอาหารชื่อ “ลาวลาวเด้อ” ริมแม่น้ำโขงในเมืองสะหวันนะเขตของประเทศลาว ฝั่งตรงข้ามกับ จ.มุกดาหาร ซึ่งที่ด้านขวามือมีสะพานมิตรภาพไทยลาวพาดอยู่ลิบๆ เหนือลำโขง
ผู้เขียนนำคณะสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ของมหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนทำงานอยู่ไปศึกษาดูงานที่แขวงสะหวันนะเขต และ จ.มุกดาหาร เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ฝั่งลาวนั้นได้พบเห็นการทำมาหากินของชาวลาวว่ามีความยากลำบากเพียงใด โดยเฉพาะการทะยานถีบตนเองให้ลุกยืนขึ้นเพื่อให้มีความเจริญเทียบเคียงได้กับเพื่อนบ้านรอบๆ ส่วนในไทยก็คุยกับกลุ่มสหกรณ์บางกลุ่ม จึงได้พบว่าระบบสหกรณ์ของไทยนี้ยังมีอะไรๆ อีกหลายๆ อย่างที่จะต้องแก้ไข โดยเฉพาะระบบตัวใครตัวมัน ซึ่งจะเอาไว้กล่าวถึงภายหลังเนื่องจากอยากคุยเรื่องน้องลาวเป็นหลัก
พูดถึงคำว่า “น้องลาว” เมื่อก่อนคนลาวอาจจะไม่ถือสา แต่มาในปัจจุบันกำลังถูกต่อต้านจากคนลาวรุ่นใหม่ ซึ่งถ้าใครเคยดูยูทูบเกี่ยวกับเรื่องที่วัยรุ่นลาวด่าคนไทยก็คงจะเข้าใจว่าคนลาวมีความทุกข์ร้อนในเรื่องนี้มากเพียงใด หากจะมองด้วยหัวอกของคนลาวก็คงจะพอมองเห็นว่า ไม่เป็นธรรมเลยที่จะตีขลุมว่าคนลาวเป็นน้องของคนไทย เพราะถ้าเป็นพี่น้องกันจริงๆ ทำไมพี่ไทยจึงต้องกดขี่ข่มเหงน้องลาวเรื่อยมา
ครับ ประวัติศาสตร์มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าจะว่าไปแล้วในทุกภูมิภาคของโลก ประวัติศาสตร์ของทุกประเทศมันก็คือประวัติศาสตร์แห่งการข่มเหงทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าใครจะข่มเหงใคร และข่มเหงในลักษณะใด อย่างในกรณีของลาวก็เป็นตัวอย่างของประเทศ “ผู้น้อย” ที่ถูกประเทศ“ผู้เป็นนาย” กดขี่ข่มเหงมานับพันปี ที่อาจจะรวมถึงเขมรยุคหลังนครวัดหรือกัมพูชาในปัจจุบันนี้ ที่อยู่ภายใต้ขนบทางการปกครองในลักษณะที่ต้องถูกกดขี่ข่มเหงเสมอมา
ถ้าเราอยากจะเข้าใจประวัติศาสตร์ของโลกในดินแดนแห่งหนึ่งๆ ก่อนอื่นต้องสมมติตัวเราว่าเป็นนกขนาดยักษ์ที่บินอยู่สูงลิบและมีสายตาที่คมชัดกว้างไกล ย้อนไปสัก 1,000 ปีเมื่อเรากำลังโฉบลงมายังดินแดนคาบสมุทรที่อยู่ระหว่างประเทศอินเดียกับประเทศจีนที่ฝรั่งเรียกว่า “อินโดจีน” ก็จะเห็นแว่นแคว้นต่างๆ กระจัดกระจายสร้างบ้านสร้างเมืองอยู่เป็นกลุ่มๆ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่เรียกว่า “ไท” หรือ “ไต” ที่มีแยกแขนงสายย่อยออกอีกเป็นสิบๆ รวมทั้งชนเผ่าต่างๆ อีกมาก ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่า “สุวรรณภูมิ” เพราะเมื่อยามข้าวสุกรอเก็บเกี่ยวจะเหลืองอร่ามไปทั่วทุกที่แลดูเหมือนแผ่นดินปูด้วยทองคำ
ลาวเป็นคนเชื้อสายไทพวกหนึ่ง ประกอบด้วยคนลาว 3 กลุ่มใหญ่ คือ ลาวลุ่มที่อยู่ตามลำน้ำต่างๆ ลาวเทิงที่อยู่บนที่ดอนเหนือแม่น้ำขึ้นไป และลาวสูงที่อยู่ตามภูเขา ในยุคโบราณพวกลาวลุ่มที่อยู่ริมแม่น้ำโขงแถบเมืองหลวงพระบางและเชียงขวางจะมีความเจริญมากที่สุด สามารถมีกษัตริย์และปกครองตนเองได้อย่างเป็นอิสระ เรียกอาณาจักรตนเองว่า “ลานช้าง” จนเมื่อเขมรภายใต้อารยธรรมนครวัดได้รุกรานไปทั่วพื้นที่แถบนี้ ลาวจึงเริ่มแสวงหาพันธมิตรซึ่งก็คือล้านนาคือเชียงใหม่และไทยคือสุโขทัย แล้วได้ย้ายเมืองหลวงลงมาที่เวียงจันทน์ พร้อมกันนั้นก็ยังหันไปเป็นมิตรกับญวนหรือเวียดนามอีกด้วย
ต่อมาอาณาจักรทางตะวันตก (ของลาว) คืออยุธยากับพม่า มีความเข้มแข็งมากขึ้น และแข่งขันแผ่ขยายอำนาจไปทั่วดินแดนแถบนี้ ลาวก็อยู่ในฐานะพะวักพะวนว่าจะเลือกข้างใด แต่ในที่สุดก็เลือกที่จะอยู่ข้างไทยและมีความแนบแน่นกับไทยเป็นอย่างมากในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (ราวช่วงอยุธยาตอนกลาง) ที่มาสร้างพระธาตุศรีสองรักไว้ที่ อ.ด่านซ้าย จ.เลย แต่เมื่อไทยถูกพม่ายึดครองก็ตีตนออกห่าง กระทั่งไทยต้องมายึดเอาลาวเป็นเมืองขึ้นอย่างเด็ดขาดในสมัยพระเจ้าตากสิน และครอบครองลาวอยู่กว่า 100 ปี จนถึงสมัยเจ้าอนุวงศ์ที่ตรงกับรัชกาลที่ 3 ของไทย ลาวจึงแข็งขืนไปเข้าข้างญวนพร้อมกับยกทัพมาคิดจะตีไทย แต่มาได้แค่โคราชก็พ่ายแพ้แก่กองทัพผู้หญิงของคุณย่าโม ผู้เป็นวีรสตรีไทย ทว่าไม่ปรากฏชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ของลาว
จากนั้นไทยได้ยกกองทัพไปตีลาวถึงเวียงจันทน์ แต่ยึดไม่ได้เพราะฝรั่งเศสเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาทางแถบนี้ ในขณะเดียวกันไทยก็มีศึกหลายด้านอยู่ในภาวะห่วงเหนือพะวงใต้ จึงจำต้องปล่อยลาวออกไป จากนั้นประวัติศาสตร์ลาวก็เปลี่ยนมาสู่ยุคเมืองขึ้นของฝรั่งเศส แต่ดูเหมือนว่าฝรั่งเศสจะข่มเหงลาวร้ายแรงเสียยิ่งกว่าไทย จึงเกิดขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชของคนลาวหลายกลุ่ม กลุ่มที่เข้มแข็งที่สุดก็คือ “กลุ่มเจ้า 3 องค์” เรียงตามอาวุโสประกอบด้วย เจ้าเพ็ดชะราช เจ้าสุวรรณภูมา และเจ้าสุภานุวงศ์ (ทั้งสามองค์มีพระบิดาร่วมกัน แต่เจ้าสุภานุวงศ์ไม่ได้ร่วมมารดากับอีก 2 องค์พี่นั้น) โดยอาศัยประเทศไทยเป็นฐานในการต่อสู้อยู่ในช่วงแรกๆ
ฝรั่งเศสเมื่อถูกต่อต้านก็คิดจะใช้กำลังเข้ากำราบ ดังนั้นในช่วงสงครามอินโดจีนคือราว พ.ศ. 2481 จึงได้ทำสงครามกับคนในพื้นที่ ทั้งญวน ลาว และเขมร แต่ก็พ่ายแพ้เป็นเหตุให้ฝรั่งเศสต้องปลดปล่อยประเทศเหล่านี้ ซึ่งไทยภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ส่งทหารไปร่วมรบด้วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องยกเครดิตให้กับญี่ปุ่นด้วยส่วนหนึ่งที่ได้ขยายอิทธิพลเข้ามาในดินแดนแถบนี้พอดี โดยภายหลังสงครามไทยได้ดินแดนคืนมาบางส่วน แต่ก็ต้องให้คืนไปในระหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังก่อตัวเพื่อไม่ให้ขัดใจกับประเทศมหาอำนาจในยุโรป
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเหล่านี้ได้รับเอกราช ระยะแรกก็ปกครองตามแบบประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์เป็นประมุขบ้าง (ลาวและกัมพูชา) และประธานาธิบดีบ้าง (เวียดนามที่เวลานั้นถูกแยกออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้) แต่ทำไมระบบเหล่านี้จึงไม่ยั่งยืน คำตอบเดียวที่อธิบายคำถามข้างต้นของทั้งสามประเทศนี้ก็คือ “บาดแผลแห่งการข่มเหง” นั่นเอง
ถ้าประเทศทั้งสามนี้ในอดีตไม่เคยถูกฝรั่งเศสข่มเหงที่รวมถึงประเทศไทยด้วย ประเทศเหล่านี้คงจะไม่คิดไปลุ่มหลงด้วยคอมมิวนิสต์ได้ง่ายๆ แต่เพราะผู้นำรุ่นใหม่ของประเทศเหล่านี้ต้องการแสดงตนว่าไม่ใช่ขี้ข้าของทั้งไทยและฝรั่งเศส (ฝรั่งเศสน่าจะมีอิทธิพลในเรื่องนี้มากกว่า) จึงปฏิเสธการปกครองแบบที่ปกครองอยู่ในทั้งสองประเทศนี้ บังเอิญคอมมิวนิสต์ก็เหมือนยาเสพติดที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลก จึงมีคนจำนวนมากอยากลองเสพ โดยเฉพาะสารเสพติดที่ชื่อว่า “ปลดแอก เสรีภาพ ภราดรภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียม” ที่สุดทั้งสามประเทศจึงค่อยๆ ก่อสงครามขึ้นภายในประเทศแล้วสถาปนาการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ตามกันมาเป็นลำดับ
ผู้เขียนอ่านประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยปราชญ์ของชาติเหล่านี้แล้วก็มีความเป็นห่วงประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะเริ่มไม่แน่ใจว่าบาดแผลแห่งการข่มเหงจะลบเลือนไปจากหัวใจของคนในชนชาติเหล่านี้ได้ง่ายๆ อย่างที่เวลาเราไปแข่งกีฬาระหว่างชาติเหล่านี้ก็มีปัญหากระทบกระทั่งระหว่างนักกีฬาและกองเชียร์นั้นอยู่โดยตลอด หรือปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากบาดแผลของการปกครองในอดีตนั้นเช่นกัน
หากมองไปอีกถึงการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า ก็อยากให้ผู้นำไทยสนใจที่จะระมัดระวังเรื่องความร้าวฉานที่เป็นมาในอดีตนี้ด้วย อย่าหลงระเริงคิดว่าจะประเคนเงินทองการลงทุนไปให้ประเทศเหล่านี้แล้วจะสามารถ “ซื้อใจ” ของพวกเขาได้
เวลาไปกอดกับเขาก็อย่าลืมดูว่ากำลังถูกเขาเอาอะไรแทงอยู่หรือเปล่า!


